Birgit Hansl ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยว่า… ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2020 ลง… โดยประเมินให้เศรษฐกิจไทยเติบโต -5% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้ 2.9%… และคาดว่า ปี 2021 จะกลับมาขยายตัวได้ 4.1%… และคาดว่า ปี 2022 จะขยายตัวเพิ่มอีก 3.6%
คำแถลงยังบอกอีกว่า… เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ซึ่งทำให้การค้าโลกหดตัวกระทบต่อการส่งออกของไทย และกระทบต่อภาคการผลิต… โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ขณะที่มาตรการควบคุมการเดินทางเพื่อเฝ้าระวังโรคระบาด… ส่งผลกระทบต่อภาคบริการ ภาคค้าปลีก สะท้อนจากยอดขายสินค้าคงทนที่ลดใกล้ 12% ในช่วงไตรมาสแรกของปี และยังส่งผลกระทบภาคการท่องเที่ยว สะเทือนถึงรายได้และสวัสดิการของครัวเรือน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ด้วยตัวเลขคนตกงานเพิ่มขึ้นเป็น 8.3 ล้านคน
คุณเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เพิ่มเติมว่า… เพื่อเป็นการปกป้องครัวเรือนที่เปราะบาง จึงควรขยายความคุ้มครองทางสังคม เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มผู้สูงอายุ และแรงงานข้ามชาติไม่ได้ถูกมองข้าม และเสนอว่าควรให้เงินอุดหนุนแก่กลุ่มที่เปราะบางต่อไป หากเป็นไปได้ ควรเชื่อมโยงการให้เงินอุดหนุนคู่ไปกับการฝึกอบรม การให้คำแนะนำ และการสนับสนุนด้านอื่นๆ เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการหารายได้
ส่วนระยะปานกลาง ประเทศไทยควรพิจารณาโครงการที่จะให้ประโยชน์ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อรองรับกับการแพร่ระบาดของโรคและวิกฤติการณ์อื่นๆ และควรเสริมด้วยการมุ่งเป้าโครงการไปที่กลุ่มคนยากจน
มาตรการช่วยเหลือของประเทศไทยถือว่ามีขนาดใหญ่ และรวดเร็วในการออกมาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID19 หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมูลค่าของมาตรการคิดเป็น 13% ของจีดีพี อย่างไรก็ดี ในขณะนี้อาจจะเร็วเกินไปที่จะประเมินผลของมาตรการต่างๆ ซึ่งในระหว่างนี้ธนาคารโลกกำลังอยู่ระหว่างติดตามและเก็บข้อมูลจากผลของมาตรการความช่วยเหลือในครั้งนี้
ด้านการส่งออก… คาดว่าปีนี้จะหดตัวราว -6.3% ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงรายไตรมาสที่แรงสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยในต่างประเทศยังอ่อนแอ เป็นผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
คาดการบริโภคภาคเอกชน… จะลดลง -3.2% จากมาตรการห้ามเดินทาง และรายได้ที่ลดลงซึ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปีนี้
ธนาคารโลกมองนโยบายการคลังของไทยว่า… ยังมีเพียงพอสำหรับใช้รับมือกับการแก้ปัญหา COVID19 ซึ่งหากผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID19 ในประเทศ ยังคงต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสถัดไป รัฐบาลอาจขยายมาตรการจ่ายเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาทออกไปอีกได้ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลยังมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการใช้มาตรการการคลังในส่วนนี้

อย่างไรก็ดี… ในระยะยาวจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องกลับมาพิจารณาสถานะการคลังของประเทศเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุม ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหนี้สาธารณะของประเทศลงได้
นอกจากนั้น… ประเทศไทยควรลงทุนเรื่องนโยบายและโครงการตลาดแรงงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โครงการอบรมและบริการจ้างงาน ต้องมีการปฏิรูปเพื่อสะท้อนความต้องการของตลาดแรงงาน ด้วยการพัฒนา Social-Emotional Skills หรือทักษะอารมณ์-สังคม รวมถึงทักษะทางปัญญาขั้นสูงและทักษะด้านเทคนิคในระยะยาว
โดยนโยบายจะต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความยืดหยุ่น ในขณะที่ขอบเขตทางการคลังจำกัดลง ควรการฟื้นฟู “Fiscal Buffers หรือ กันชนทางการคลัง” ขึ้นใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ประโยชน์จากรายรับของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต รวมถึงสามารถดำเนินแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานตามที่วางแผนไว้
อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/content/normal_news/440252
https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/thailand-economic-monitor-june-2020-thailand-in-the-time-of-covid-19