ในปัจจุบัน ทุกคนทราบดีว่า การรับประทานอาหาร การออกกำลังกายและการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งกิจกรรมทั้งสามอย่างนี้ถือเป็นการดูแลสุขภาพเชิงรุกที่มีแต่เรื่องดีงามทั้งกับสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ประเด็นก็คือ… ทั้งอาหาร การออกกำลังกายและพักผ่อน เป็นโมเมนต์ส่วนตัวในพื้นที่ส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ และผมกำลังพูดถึงที่พักอาศัยที่มีสภาพแวดล้อม แบบ Proactive Living ที่ครอบครัวหนึ่งหรือคนๆ หนึ่ง… มีบ้านอยู่ใกล้แหล่งอาหารคุณภาพ สะดวกและจูงใจให้ได้ออกกำลังกาย และการพักผ่อนเกิดขึ้นได้ตลอดเท่าที่ต้องการ


ช่วงไม่กี่ปีมานี้… นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทำเล CBD มักออกแบบให้คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ๆใส่สิ่งแวดล้อมแบบ Proactive Living ไว้กับส่วนกลางเช่น สวนผักปลอดสารและ Kitchen On Demand… ห้องยิมขนาดใหญ่ รวมทั้งสนามกีฬาในร่มและกลางแจ้งก็มีให้เห็น… ส่วนเรื่องการอยู่อาศัยและพักผ่อน หลายโครงการนำเทคโนโลยี HVAC หรือ Heating Ventilation Air Conditions ระดับ Smart HVAC เข้ามาใช้ในโครงการ
แม้กระทั่งล่าสุดที่ผมได้มีส่วนเสนอความเห็น ในการออกแบบโครงการที่กำลังจะเสนอแผนการลงทุนในโอกาสอันใกล้นี้… มีการพิจารณาติดตั้งเครื่องผลิตอ๊อกซิเจนระดับ “เกรดทางการแพทย์” เพื่อเติมออกซิเจนให้พื้นที่อยู่อาศัยให้มีส่วนผสมของอากาศที่ดีต่อสุขภาพในการอยูอาศัย ทดแทนระบบกรองฟอกอากาศที่โจทย์ในการพัฒนาระบบคือ… ไม่มีอากาศสกปรกจนต้องฟอกตั้งแต่ต้น


ส่วนเรื่องครัวส่วนกลาง ผักปลอดสารและอาหารตามสั่ง… หลายโครงการ โดยเฉพาะ Developer เจ้าใหญ่ๆ ต่างก็มีช่องทางการสื่อสารที่พาร์ทเนอร์กับเทคสตาร์ทอัพบ้าง ตั้งสตาร์ทอัพในเครือขึ้นมาบ้าง เพื่อให้บริการลูกบ้านหลายอย่างตั้งแต่งานนิติบุคคลในโครงการจนถึงบริการซักรีด น้ำดื่มและทิชชู่ทีเดียว
ส่วน Developer รายเล็กที่ยังอยู่กับงานก่อสร้างและจัดสวนหรือตกแต่งภายในอยู่… ผมขออนุญาตแนะนำให้มองงานบริการหลังโอนไปยาวๆ และดูแลคุณภาพชีวิตทั้งอาหารการกิน ออกกำลังกายและพักผ่อนให้มีภาพที่ลูกค้ามาดูทรัพย์ เห็นภาพตัวเองหลังจาก “ย้ายมาอยู่ด้วยกัน” แล้ว… เพราะสิ่งที่ลูกค้าซื้อคือ… โมเมนต์หลังโอนครับ!!!