ปีนี้เป็นปีที่การท่องเที่ยวน่าจะเป็นพระเอกในวงการอสังหาริมทรัพย์ฝั่งการลงทุน ที่แนวโน้มการท่องเที่ยวแบบ Slo-Mo หรือ Slow Missing Out และการตามหาแรงบันดาลใจของเหล่านักท่องเที่ยว ที่อยากสัมผัสประสบการณ์เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้ต่างไปจากเดิม
คุณสุรพร เกิดสว่าง ได้ทำบทความไว้ใน JohJaiOnline.com เกี่ยวกับ Transformative Tourism ไว้อย่างน่าสนใจว่า
พฤติกรรมการท่องเที่ยวของผู้คนมี 2 เหตุผลที่น่าสนใจคือ แบบแรกเป็นการเที่ยวแบบจารีต ที่พบได้ทั่วไปในคนส่วนใหญ่ คนเที่ยวอาจไม่ได้มีอาการ “อิน” อะไรมากมายในสิ่งที่พบเห็น ไม่ได้สนใจลึกในสิ่งที่ผ่านตา เพียงขอให้ได้ไปตาม checklist ครบภายในเวลาที่มี ไปช้อปปิ้ง กินอาหารอร่อย กับเพื่อนฝูงที่ถูกใจ เปลี่ยนที่กินที่นอน และที่สำคัญได้ selfie ลงโลกโซเชียล ก็ถือว่า happy

กับอีกกลุ่มคือคนที่ออกไปค้นหาตัวเอง โดยเน้นว่า “ไปทำอะไร” มากกว่าจะ “ไปที่ไหน” ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมองหากิจกรรมก่อนจุดหมายปลายทาง มีคำถามมีความสงสัยใคร่รู้ เราจึงนิยามนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ว่า Transformative Tourism
งานวิจัยจาก East Carlolina Unversity ร่วมกับ ATTA หรือ Adventure Travel Trade Associaltion และ Outside Magazine สื่อที่เกี่ยวกับกีฬาและกิจกรรม Outdoor รายงานว่า… จุดประสงค์ของคนที่ชอบเที่ยวแบบมีกิจกรรม Adventure เปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อปี 2008 ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ต้องการ ความสะใจ ความหวาดเสียว บ้าพลัง… เปลี่ยนไปเป็น เรียนรู้ ความหมาย และ วัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2015
ศูนย์ข้อมูลจาก Transformational Travel Council องค์กรที่โปรโมทการเที่ยวแบบนี้ ได้นิยามการท่องเที่ยวแบบ Transformational Travel จะมีองค์ประกอบหรือหัวใจสำคัญที่เรียกว่า HERO ที่ถอดมาจาก Keywords 4 คำคือ
1. Heart… เที่ยวด้วยหัวใจ
2. Engagement… มีส่วนร่วม
3. Resolve Challange… ตอบโจทย์ความท้าทาย
4. Open to the Unknown… เปิดโลกทัศน์กับสิ่งที่ไม่รู้
รายงานปี 2018 ของ World Tourism Organization พบว่า… คนเที่ยวแบบ Transformative ทั่วโลก 82% ไม่ยอมเที่ยวกับกลุ่มใหญ่… เป็นคนโสด 59% มีคู่แล้ว 35%… เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย… มีฐานะดีกว่าคนส่วนใหญ่ และมีการศึกษาดี โดยเป็นคนยุโรป 61%… เอเชีย 24% และอเมริกาเหนือแค่ 11% เท่านั้น
ที่จริงข้อมูลที่คุณสุรพร เกิดสว่างเรียบเรียงไว้ยังมีที่น่าสนใจอีกมาก… แต่ก็สรุปได้ว่า กระแส Transformative Tourism กำลังมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ… ผมวางลิงค์ไว้ใต้อ้างอิงครับถ้าท่านสนใจตัวเลขและสถิติละเอียดขึ้นกว่านี้
เพราะประเด็นที่น่าสนใจกว่าสำหรับผมก็คือ… Keywords คำว่าท่องเที่ยวและเรียนรู้… เพราะการจะพัฒนาตัวเองได้ คนเราต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่บริบทที่ดีกว่าเดิม… โดยมีความรู้และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นทั้งแนวทางและการรับประกันผลของการเปลี่ยนแปลง
คนส่วนใหญ่ล้วนอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่เสมอ… แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กล้าลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง… การออกไปเรียนรู้และซึมซับประสบการณ์ใหม่ๆ และท่องเที่ยว จึงเป็นทางออกหนึ่งที่ท้าทายโดยไม่ต้องเสี่ยงอะไรจนเกินไป… ที่จริงการท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้และหาประสบการณ์ตรงก็เหมือนทริปเจ้าสัวดูงานนั่นแหละครับ… เจ้าตัวจะมีความรู้และความรู้สึกฝักใฝ่อยู่ระดับหนึ่ง และต้องการไปสัมผัสเพื่อ Inspired ความเชื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่



ในเชียงใหม่มีชาวต่างชาติมากมายมาเรียนมวยไทย ซึ่งมีทั้งมาเช่าเกสต์เฮาส์หรืออพาร์ทเม้นท์อยู่ และกลุ่มที่กินนอนในค่ายมวย… มีทั้งมาเรียนมวยเพื่อลดความอ้วนและเข้าค่ายมวยเพื่อขึ้นเวทีทั้งสมัครเล่นเป็นกีฬาและแบบอาชีพ
ในขณะที่ฟาร์มสเตย์หลายๆ แห่งในเชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยวมาเรียนทำอาหาร ที่มีทั้งแบบทำเมนูเดียวกินเองหรือเททิ้งแล้วก็จบ… และหลักสูตรเปิดร้านอาหารที่ต้องกินนอนและฝึกฝนกันจริงจังก็มี
และทั้งหมดนั้น… ทำบนที่ดินซักแปลงหรือบ้านซักหลัง โดยใครซักคน… และผมเชื่อมาตลอดว่า นี่จะเพิ่มมูลค่าให้อสังหาริมทรัพย์ได้ไม่มากก็น้อย
อ้างอิง