คนส่วนใหญ่มีฝัน และ ฝันของคนส่วนใหญ่มักจะฝันใหญ่… โดยหลายคนฝันใหญ่เกินจริงเข้าขั้นเหลือเชื่อ และ รู้ดีว่าไม่มีทางเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็มีความสุขที่จะฝันแบบนั้น และ หยุดทุกอย่างเอาไว้ในความคิดแค่นั้น โดยไม่คิดที่จะแตะต้องเพื่อให้ฝันกลายเป็นอย่างอื่น… โดยเฉพาะการแตะต้องให้ฝันกลายเป็นจริงว่ามันเป็นแค่ฝัน
ประเด็นก็คือ… ฝันของคนมีชื่อเสียงหลายคนในโลกนี้เป็นฝันอันยิ่งใหญ่ ที่แปลว่าใหญ่เกินกว่าความคิด หรือ ทัศนคติจากคนทั่วไปจะกล้าคิดกล้าฝันแบบนั้น… และที่สำคัญคือ หลายคนสานฝันของตัวเองได้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยฝันไว้ก็มีไม่น้อย
กรณีของ Masa หรือ Masayoshi Son แห่ง Softbank ผู้เกิดและเติบโตในครอบครัวชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่แถบตอนใต้ของเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น… ครอบครัวของ Masa เลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพ นอกจากจะฐานะไม่ดีเท่าไหร่แล้ว ยังต้องใช้ชีวิตกันค่อนข้างลำบากในสังคมญี่ปุ่นที่ขุ่นเคืองเกลียดชังคนเกาหลี และ คนเกาหลีก็ไม่สามารถวางใจคนญี่ปุ่นไ้ด้เลยแม้จะรั้วบ้านติดกัน… การถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม จึงเป็นเรื่องปกติ ที่ครอบครัวของ Masa ต้องเผชิญตลอดช่วงวัยเด็กของเขา
Masayoshi Son ได้เรียนที่ University of California Berkeley และเริ่มทำธุรกิจด้วยการพัฒนาซอฟท์แวร์แปลภาษาอังกฤษเป็นญี่ปุ่น และขายให้ Sharp ด้วยมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ… ก่อนจะหอบทุนกลับญี่ปุ่น และ ก่อตั้งบริษัท SoftBank ขึ้นในปี 1981 ด้วยวัย 24 ปี และ เริ่มเป็นที่รู้จักจากการถือลิขสิทธิ์การให้บริการ Yahoo Japan และ ลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจคอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคมในญี่ปุ่น… ก่อนจะประกาศพาทุนญี่ปุ่นออกไล่ล่าธุรกิจมีอนาคตทั่วโลก ทั้งร่วมทุน ลงทุน และ ซื้อกิจการ… SoftBank นำทุนจากการ IPO ในตลาดหุ้น Nikkei ไล่ลงทุนในกิจการด้านสื่อ โดยเน้นนิตยสารชื่อดังอย่าง Ziff-Davis และ PC Magazine รวมทั้งลงทุนในกิจการด้านเทคโนโลยีอย่าง Kingston… Yahoo America และ Alibaba.com
จุดเปลี่ยนใหญ่อีกครั้งของ SoftBank ภายใต้การนำของ Masa คือการซื้อกิจการของ Vodafone Japan แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Softbank Mobile ปี 2006 และได้สิทธ์จัดจำหน่าย iPhone ในญี่ปุ่นแต่ผู้เดียว พร้อมๆ กับการเป็นผู้นำอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในญี่ปุ่น… โดยมีกระแสความสำเร็จของการลงทุนกับ Startup แบบลงเงินน้อยนิด แต่เติบโตและกำไรมหาศาล จากต้นแบบความสำเร็จของ Amazon… Google และ Facebook… ซึ่งความสำเร็จแบบ Silicon Valley ดึง Masa และ SoftBank ตะลุยอเมริกาครั้งใหญ่ และ ลงทุนกับ Tech-Startup ครอบคลุมตั้งแต่ไมโครชิบไปจนถึงหุ่นยนต์ชั้นสูงทั้งเลียนแบบมนุษย์ และ เลียนแบบสัตว์
ความเชื่อมั่นและความทะเยอทะยานของ Masa ได้รับความไว้วางใจจากกองทุนมากมายทั่วโลก ทั้งในญี่ปุ่น… Silicon Valley หรือแม้แต่กองทุนจากประเทศใหญ่ทุนหนาจากตะวันออกกลาง จนเกิดพันธมิตร Vision Fund มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นในปี 2016… โดยมี Masa นำการตัดสินใจลงทุนโดยพันธมิตรมหาเศรษฐี และ ผู้บริหารกองทุนทั้งหลาย เชื่อมั่นการตัดสินใจของ Masa เสมอ… ถึงแม้หลายกรณีจะผิดพลาดขาดทุนกันบ้าง แต่ภาพรวมของ Vision Fund ก็ไม่เคยถดถอยด้อยกำไร
แม้แต่ความผิดพลาดครั้งสำคัญกับการทุ่มทุนให้ Uber และ WeWork นับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ยังคงขาดทุนสะสมอยู่จนถึงปัจจุบันกลางปี 2021… แต่ถ้ามองภาพรวมทั้งพอร์ตลงทุน แค่ความสำเร็จจาก Alibaba กว่าสองแสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพียงแห่งเดียวก็ทำให้ความเสียหายจาก WeWork หรือ Uber ระดับหมื่นล้าน… กลายเป็นเงินเล็กน้อยที่สามารถขาดทุนรอกำไรวันหน้าได้สบายๆ โดยไม่เจ็บปวดอะไร… แถม Masa ยังเดินหน้าตั้ง Vision Fund 2 เพื่อลงทุนเพิ่ม พร้อมพันธมิตรอุ่นหนาฝาคั่งยิ่งกว่าเดิม ทั้งกลุ่มนักลงทุนจากซาอุดีอาระเบีย… Qualcomm… Foxconn… Apple และ Oracle… จนทำให้ Vision Fund กลายเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ลงทุนในเทคโนโลยี และ การสื่อสาร
หลายความเห็นของคนที่รู้จัก Masa หรือ Masayoshi Son บอกตรงกันว่า… เขาเป็นคนแปลกๆ และอยู่เบื้องหลังการสร้างสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือ เป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่น ให้เห็นเป็นความสำเร็จอันงดงามได้เสมอ… Mattieu Gamache-Asselin ในฐานะ CEO ของ Alto Pharmacy ซึ่งเป็นหนึ่งใน Startup ด้านยาในพอร์ตลงทุนของ Vision Fund กล่าวถึง Masa ว่า… Masa มีวิธีที่ทำให้คุณมองโลกในอีกแบบหนึ่ง
บ่อยครั้ง ท่านที่อยู่ในธุรกิจ Startup จึงมักจะได้ยินประโยคทองของ Masa ผ่านหูผ่านตาเหมือนเป็น “วจนะของศาสดาสตาร์ทอัพ” ก็ว่าได้… โดยเฉพาะประโยคที่ว่า… Think Big, Think Disruptive, Execute With Full Passion หรือ คิดใหญ่ คิดก่อการ ต้องจัดการสุดแรงปราถนา
Masayoshi Son เกิดวันที่ 11 สิงหาคมปี 1957… ปัจจุบันมีทรัพย์สินราว 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็น CEO ของ SoftBank… SoftBank Mobile… Arm Holdings และ Forbes Magazine…
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยกย่อง Masayoshi Son ก็คือ… การนำเสนอวิสัยทัศน์ 300 ปี เพื่อวางแผนให้ SoftBank อยู่ยงถึงอายุ 300 ปี ซึ่งประกาศไว้ในปี 2010 ก่อนจะลุยลงทุนในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์… AI… หุ่นยนต์ รวมทั้ง Longevity Technology ในมนุษย์ตั้งแต่ระดับ DNA จนถึงอวัยวะเทียมที่จะทำให้มนุษย์อายุเกิน 200 ปีอย่างท้าทาย… ซึ่งชายคนนี้… Masayoshi Son ไม่ได้คิดหรือฝันลอยๆ กับสิ่งที่บอกไว้ทั้งหมด แต่เดินหน้าหาเงินลงทุน และ ทุ่มลงทุนอย่างจริงจังมาก่อนหน้านั้นเสียอีก
จำชื่อเขาไว้ได้เลย… Masayoshi Son!
References…