ประเด็นอันดับความรวยระดับโลก… มีข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานตัวเลขยืนยัน แต่ก็เป็นข้อมูลที่คนทั้งโลกเชื่อไม่ต่างกันโดยไม่ต้องยืนยันด้วยตัวเลข ซึ่งผมกำลังพูดถึงอันดับ “ตระกูลอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก” ตลอดกาล ผู้ได้ชื่อว่าร่ำรวยกันทั้งตระกูล และ ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลก ยาวนานมาตั้งแต่ยุคกลางศตวรรษที่ 16 ราวปี 1760 ซึ่ง Mayer Amschel Rothschild เจ้าของตึกโล่ห์แดง หรือ Red Shield ซึ่งในภาษาเยอรมันเขียนและอ่านออกเสียงว่า รอธส์ไชลด์ หรือ Roth Schild ในนคร Frankfurt ประเทศเยอรมนี… ได้ส่งบุตรชายทั้ง 5 ออกไปตั้งกิจการธนาคารขึ้นในเมืองใหญ่ทั่วยุโรป ทั้ง Frankfurt… Vienna… London… Naples และ Paris… เริ่มต้นตำนานสายสกุลรอธส์ไชลด์ หรือ Rothschild Dynasty อันมั่งคั่งและทรงอิทธิพลต่อดุลอำนาจ เศรษฐกิจ และ การลงทุนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน… ร่ำรวย และ ทรงอิทธิพลยาวนานกว่า 260 ปี
Mayer Amschel Rothschild ทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราให้กับพ่อค้า และ เหล่าขุนนางที่ทำการค้าระหว่างเมือง ซึ่งการแลกเปลี่ยนในยุคที่ยังไม่มีสกุลเงินตรา แต่ใช้เหรียญทองคำ และ เหรียญโลหะอื่นที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบชนิดเหรียญ น้ำหนัก และ ประเมินมูลค่า… แลกเป็นเบี้ย หรือ เหรียญที่ใครได้ไปก็กล้ารับและยินดีรับ… ซึ่งก็คือเหรียญที่ตอกตรา หรือ สัญลักษณ์ของ Rothschild ที่พ่อค้า ขุนนาง หรือแม้แต่กษัตริย์สามารถเอาไปใช้จ่ายซื้อจ้าง หรือ เอากลับไปแลกเป็นทองคำที่ Rothschild ก็ได้… และแลกได้ทั้ง 5 สาขาใน 5 เมืองใหญ่ทั่วยุโรปที่เป็น Rothschild
นั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2303… ช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพพม่าจากหงสาวดี กำลังเตรียมทัพเพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยา และ อีกหลายปีต่อมาจึงได้เผากรุงศรีอยุธยาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2310… ซึ่งถือว่าโมเดลธุรกิจของ Mayer Amschel Rothschild ก้าวหน้าจนเรียกว่าเป็นคนคิดค้นโมเดลธนาคาร และ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราขึ้นใช้ จนกลายเป็นโครงข่ายการเงินการธนาคารผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านของโลกนับแต่นั้นก็ว่าได้
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ… Mayer Amschel Rothschild คือผู้วางรากฐานระบบ “กู้ยืม และ ดอกเบี้ย” ซึ่งในยุคนั้น คริสต์จักรมีข้อห้ามไม่ให้คริสต์ศาสนิกชนปล่อยกู้รับดอกเบี้ย ทำให้เหล่าขุนนาง และ พ่อค้ารายใหญ่ชาวคริสต์ไม่สามารถทำธุรกิจเงินกู้ได้ จนกลายเป็นช่องว่างให้พ่อค้าชาวยิวอย่าง Mayer Amschel Rothschild สร้างอิทธิพลเหนืออำนาจอื่นๆ ในยุคเดียวกันอย่างเงียบๆ ผ่าน “อำนาจเงิน หนี้สิน และ หลักประกัน”
เหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศษในช่วงปี 1789 กระทั่งประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในเดือนมกราคม ปี 1793 ทำให้ฝรั่งเศษซึ่งปกครองโดยกลุ่มอำนาจใหม่ กลายเป็นคู่สงครามกับระบอบกษัตริย์เก่าแก่ทั่วยุโรป กระทั่งเกิดสงครามนโปเลียน หรือ Napoleonic Wars ยาวนานตั้งแต่ปี 1805 ถึงปี 1815
การนำทัพยึดยุโรปของนโปเลียนไม่มีนโยบายเป็นมิตรกับชาวยิว และ ธุรกิจของชาวยิวเลย โดยเฉพาะตระกูลรอธส์ไชลด์ ซึ่งทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมด มีโอกาสถูกนโปเลียนปล้น และ ยึดไปได้… Mayer Amschel Rothschild จึงมอบหมายให้ Nathan Mayer Rothschild บุตรชายผู้ดูแลเขตลอนดอน ปล่อยเงินกู้ให้กองทัพอังกฤษผ่าน King George III หรือ พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร เพื่อทำสงครามกับนโปเลียนจนชนะ… และยังแต่งตั้งตระกูลรอธส์ไซลด์ให้เป็นขุนนางอังกฤษชั้น Baron… ซึ่งในสงครามนโปเลียนฝั่งตะวันออก… จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 หรือ Franz Joseph I แห่งออสเตรีย ก็ได้เงินกู้จากตระกูลรอธส์ไซลด์มาใช้ในยามสงครามเช่นกัน และทรงแต่งตั้งให้ตระกูลรอธส์ไซลด์เป็นไฟร์แฮรร์ หรือ Freiherr ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ชั้นเดียวกับบารอนของอังกฤษ
ที่เด็ดกว่านั้นคือ ในสงครามปี 1815 สมรภูมิสุดท้ายที่ Waterloo ซึ่งนโปเลียนนำทัพรบกับ Arthur Wellesley หรือ Duke of Wellington หรือ ลอร์ดเวลลิงตัน ในฐานะแม่ทัพอังกฤษ… Jakob Mayer Rothschild น้องชายคนเล็กของตระกูล และ นายธนาคารจากตระกูลรอธส์ไซลด์ผู้ดูแลเขตปารีส นอกจากจะรับจำนอง และ ปล่อยกู้ให้กองทัพนโปเลียน และ ขุนนางคหบดีในปารีสแล้ว ยังใช้ข่าววงในจากลูกหนี้ทั่วปารีส ส่งข่าวถึงพี่ชาย Nathan Mayer Rothschild ในลอนดอนให้เตรียมซื้อพันธบัตรอังกฤษ ท่ามกลางข่าวลือในลอนดอนว่า Duke of Wellington กำลังจะแพ้สงครามจนตลาดสินทรัพย์ลงทุนในอังกฤษเกิด Panic Selling ถึงขั้นขายทุกราคาแต่ไม่มีใครซื้อ ยกเว้น Nathan Mayer Rothschild ที่ยอมซื้อพันธบัตรอังกฤษที่ราคา 5% ก่อนที่ Duke of Wellington จะนำทัพกลับถึงลอนดอนด้วยชัยชนะในอีก 8 ชั่วโมงต่อมา… ซึ่งธนาคารกลางอังกฤษ หรือ Bank Of England ได้กลายเป็นลูกหนี้ตระกูลรอธส์ไซลด์ไปแล้ว
Nathan Mayer Rothschild หรือ Sir Nathan Rothschild หรือ First Baron Rothschild จึงกลายเป็นตำนานคำคมด้วยประโยคที่ว่า… The Time To Buy Is When There’s Blood In The Streets. จังหวะที่ต้องซื้อก็ตอนที่เห็นเลือดนองถนนนั่นแหละ
การถือพันธบัตรอังกฤษต้นทุน 5% ที่คนอังกฤษต้องจ่ายคืนผ่านภาษีให้เต็ม 100% พร้อมดอกเบี้ยจากยอด 100% หลังสงคราม Waterloo ทำให้อธิพลทางเศรษฐกิจของตระกูลรอธส์ไซลด์ยั่งรากลึกจนกลายเป็นเครือข่ายธนาคารในอเมริกาที่กำลังเกิดใหม่ และ ขัดแย้งสู้รบจนอเมริกาฝ่ายที่อังกฤษหนุนหลังในยุคนั้น ชนะสงครามกลางเมืองหลายครั้ง จนสร้างอเมริกาที่ใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่ผู้ค้นพบดินแดนอเมริกาคือคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส หรือ Christophorus Columbus ชาวเจนัวผู้เดินเรือภายใต้การสนับสนุนของราชสำนักสเปน
ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ ครั้งที่สองซึ่งมีเยอรมันเป็นคู่สงครามหลักกับอังกฤษ… ฝ่ายเยอรมันจึงมุ่งมั่นจัดการคนยิวก่อนอื่น เพื่อปิดโอกาสแพ้ “พลังอำนาจทางการเงินในมือชาวยิว” ที่อยู่เบื้องหลังสงครามใหญ่ๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนยิวจากเครือข่าย และ ตระกูลรอธส์ไซลด์ที่ยั่งอธิพลทางเศรษฐกิจและการเงิน ลึกข้ามพรมแดนไปทั่วยุโรป รัสเซียและอเมริกา…
ส่วนการลงทุน และ สร้างชาติในดินแดนใหม่อย่างอเมริกา ทุกการก่อสร้างและลงทุนที่ต้องกู้เงินธนาคารทุกแห่งในอเมริกา ตระกูลรอธส์ไซลด์ล้วนถือหุ้นอยู่เบื้องหลังเงียบๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลรายใหญ่ทั้งในอเมริกา และ อังกฤษ จนตระกูลรอธส์ไซลด์ออกความเห็นเหมือนเป็นผู้ถือหุ้นก็ว่าได้… และทั้งหมด ล้วนกลายเป็นกำไร และ ดอกเบี้ย ส่งกลับตระกูลรอธส์ไซลด์อย่างเบ็ดเสร็จ… โดยไม่ขาดตอน และ ตกหล่นจนถึงปัจจุบัน
มีข้อมูลที่ไร้หลักฐานมากมายระบุว่า… การล่มสลายของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกทั้งอาร์เจนตินา เม็กซิโก ไทย สหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ไอร์แลนด์ อิตาลี สเปน โปรตุเกส กรีซ และไซปรัส ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงต้นศตวรรษที่ 21… มีการกล่าวหาตระกูลรอธส์ไซลด์มากมายโดยอ้างว่า… ตระกูลรอธส์ไซลด์หาประโยชน์จากความล่มสลายตามแนวคิด “ปลากับน้ำ” โดยคนตระกูลรอธส์ไซลด์จะมองคนบนโลกเป็นปลา และ มองเงินเป็นน้ำ…
การระบายน้ำเข้าไปให้ปลา และ การสูบน้ำจนแห้งเพื่อจับปลา เป็นวิธีทำกำไรอย่างอำมหิตของเงินทุนจากตระกูลรอธส์ไซลด์ ที่สามารถใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมาย แล้วก็ดึงเงินกลับให้เลือดนองถนน เหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งที่ “เงินนอก” ไหลเข้ามาให้ธุรกิจไทยกู้มหาศาล แล้วก็ถล่มค่าเงินผ่านอัตราแลกเปลี่ยนจนทุนสำรองของไทยไม่เหลือ ขาดสภาพคล่องในประเทศจนต้องขอความช่วยเหลือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF และต้องรับเงื่อนไขทุกอย่าง… ซึ่งก็คือช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และ จับปลาถูกๆ ผ่านเงินก้อนใหม่ที่ใส่กลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง เพื่อทำกำไรจากของที่ได้มาถูกๆ ตอนเลือดนอง… อีกรอบ!!!
ประเด็นเป็นแบบนี้ครับ… ข้อมูลด้านมืดของคนยิวและตระกูลรอธส์ไซลด์ในกระแสเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งก็ดีแบบหนึ่ง และ ทุกข์ยากหม่นมัวอีกแบบหนึ่ง… ซึ่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับยิวและรอธส์ไซลด์ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ… เราท่านก็คงไปทำ หรือ เปลี่ยนอะไรไปจากนี้ไม่ได้…
แต่เหตุการณ์เลือดนองในตลาดทุน ตลาดหุ้น และ ตลาดคริปโตท่ามกลางวิกฤตโควิดอย่างทุกวันนี้… เงินทุนจากคน หรือ ตระกูลที่ไม่กลัวเลือด และ กล้าลุยจับปลาน้ำแห้งในปัจจุบันไม่ได้มีแต่ตระกูลรอธส์ไซลด์แน่ๆ เท่าที่เห็น… และผมหวังว่าจะมีเพื่อนผมหลายๆ คนที่ได้อ่านบทความนี้ ได้ประโยชน์จากความตกต่ำล่มสลายทางเศรษฐกิจ ในแวดวงและอุตสาหกรรมที่ท่านถนัด และ เข้าใจวิธีหาเงินจากมัน…
สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ!
References…