มาตรการส่งเสริมการใช้ EV ของประเทศไทย

ความเคลื่อนไหวในวงการ EV ของไทยที่เฝ้ารอกันว่าจะมีโปรโมชั่นจากรัฐบาลให้ได้ซื้อหารถไฟฟ้ามาใช้ในราคาสมเหตุสมผลเมื่อไหร่ ซึ่งอีกไม่นานก็คงมีข่าว PM 2.5 ในหน้าแล้งวนเวียนมาหลอกหลอนคนเมืองอีกแล้ว… แล้วก็จะมีหัวข้อ EV ที่เปิดประเด็นมาเมื่อไหร่ก็ต้องหันไปด่ารัฐบาลเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมใช้พาหนะพลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยถือว่าล้าหลังเชิงนโยบายในกรณีนี้อย่างน่าเจ็บใจ

แต่ล่าสุดก็มีข่าวจากคุณสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ออกมาบอกนักข่าวในวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ว่า… ขณะนี้มาตรการส่งเสริมการลงทุน และ การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ของประเทศไทยมีความชัดเจนแล้ว

โดยข้อมูลเบื้องต้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคาดว่า… เป็นไปได้ที่จะลดภาษีเป็นแพ็คเกจ ทั้งภาษีนำเข้า EV และอัตราภาษีสรรพสามิตก็จะมีการปรับลดลงด้วย

ส่วนแหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ดอีวี ก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า… การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ จะมีวาระพิจารณามาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งจะส่งเสริมการใช้อีวี 3 ประเภท ได้แก่… รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และ รถกระบะ โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้ และ เมื่อมาตรการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปออกกฎหมายและทำสัญญากับค่ายรถที่เข้าร่วม

โดยมาตรการส่งเสริมการใช้ EV ของประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่… ปี 2565-2568 ส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า 3 กลุ่ม คือ 

  1. เงินอุดหนุนรถยนต์ และ รถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาทต่อคัน และ รถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน
  2. ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และ รถกระบะลดลงเป็น 0%
  3. ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน หรือ CBU สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ถึงปี 2566
  4. ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศ หรือ CKD จำนวน 9 รายการ

ทั้งนี้… ค่ายรถที่เข้าร่วมต้องรับเงื่อนไขที่ประกอบไปด้วย

  1. ต้องเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศที่ทำสัญญากับกรมสรรพสามิต โดยจะจ่ายอุดหนุนเงินและภาษีไปที่ผู้ประกอบการ
  2. ประเภทรถยนต์ครอบคลุมรถยนต์ รถกระบะ และ รถจักรยานยนต์เฉพาะ BEV หรือ Battery Electric Vehicle เท่านั้น
  3. ส่วนรถ EV ที่ราคาขายปลีกแนะนำอยู่ที่ 2-7 ล้านบาท จะได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 20% ในปี พ.ศ. 2565-2566 ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2% ในปี พ.ศ. 2565-2568 แต่ต้องเลือกผลิตรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำข้ามาจำหน่าย

โดยเงื่อนไขการใช้สิทธิ์และบทลงโทษ คือ 

  1. ต้องวางเงินค้ำประกันประกอบการใช้สิทธิ์ 
  2. หากไม่ปฏิบัติติตามเงื่อนไข ต้องคืนเงินอุดหนุนเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย และ ยึดเงินค้ำประกันจากธนาคาร รวมทั้งไม่ได้สิทธิลดภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

สำหรับมาตรการการสนับสนุนการใช้รถยนต์ EV แบ่งเป็นรถ 3 ประเภท ได้แก่ 

  1. รถยนต์ไฟฟ้า… ราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยผลิตและประกอบในประเทศ จะได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40% ในปี พ.ศ. 2565-2566 ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2% ในปี พ.ศ. 2565-2568 และ เงินอุดหนุนปี พ.ศ. 2565-2566 จำนวน 70,000 บาท สำหรับ EV ขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 KWh… หรือ 150,000 บาท สำหรับ EV ขนาดแบตเตอรี่มากกว่า 30 KWh และในปี พ.ศ. 2567 ต้องผลิต EV ในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้าในปี พ.ศ. 2565-2566 โดยผลิตรถรุ่นใดก็ได้… ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิ์มาตรการส่งเสริมทั้ง 2 รายการ ทั้งขนาดแบตเตอรี่ ต่ำกว่า 30 KWh และเกินกว่า 30 KWh ข้างต้น… ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยผลิตรถยนต์ชดเชยในปี พ.ศ. 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้าแบบ CBU ในปี พ.ศ. 2565-2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลาการผลิตชดเชย จะให้สิทธิ์ได้ถึงปี พ.ศ. 2568 แต่ต้องผลิตในอัตราส่วน 1 : 1.5 เท่า หรือ นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน
  2. รถกระบะ… ราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท จะลดภาษีสรรพสามิตเป็น 0% ในปี พ.ศ. 2565-2568 และ ให้เงินอุดหนุนปี พ.ศ. 2565-2568 คันละ 150,000 บาท สำหรับรถยนต์กระบะประเภท BEV กระบะที่ผลิตในประเทศ และ มีแบตเตอรี่ขนาดตั้งแต่ 30 KWh ขึ้นไป… โดยเงื่อนไขของผู้ขอรับสิทธิตามมาตรการส่งเสริมต้องทำสัญญากับกรมสรรพสามิตก่อนการขอใช้สิทธิผลิตรถยนต์กระบะประเภท BEV ทั้งนี้… เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด โดยผู้ขอรับสิทธิต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ขอรับสิทธิต้องยื่นโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำกับกรมสรรพสามิตเพื่อพิจารณา สำหรับรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท ผู้ขอรับสิทธิต้องผลิตหรือใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
  3. รถจักยานยนต์ไฟฟ้า… กรณีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท จะได้สิทธิประโยชน์เงินอุดหนุนคันละ 18,000 บาท ทั้ง CKD และ CBU ระหว่างปี พ.ศ. 2565-2568 

ส่วนข้อมูลเชิงนโยบายจากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังกล่าวว่า… กรณีเงินอุดหนุนที่จะให้แก่คนซื้อ EV นั้น คาดว่า จะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าโครงการรถยนต์คันแรกในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

สำหรับปัญหาในเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับ EV นั้น… เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาหรืออุปสรรค ถึงขั้นทำให้คนไม่สนใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อชาร์จไฟเต็มจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 400-500 กิโลเมตร ในขณะที่ระยะทางความยาวจากภาคใต้สุดถึงเหนือสุดของประเทศ มีความยาวเพียง 2 พันกว่ากิโลเมตร การตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าเพียง 40-50 สถานีก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศได้อยู่แล้ว

Share this post

Add Properea's Friend

เพิ่ม Properea.com เป็นเพื่อนทาง Line
ท่านจะได้ Link บทความใหม่ส่งตรงให้อย่างสม่ำเสมอโดยรบกวนแต่น้อย

Related Post

Cosmos Network

Cosmos Network และ ATOM Coin

Cosmos Network เป็นบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดที่จะทำให้บล็อกเชนทุกโครงข่ายสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนการใช้อินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมโยง Web Server หรือ Internet Server ทุกโครงข่ายเข้าหากันได้หมดโดยไร้ขีดจำกัด… Cosmos Network จึงได้ชื่อว่าเป็น Internet Of Blockchain โดยกำเนิด และ มีคุณสมบัติในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Web 3.0 อย่างโดดเด่น

The eTattoo Cuffless Monitoring… วัดความดันด้วยรอยสักอิเล็กทรอนิกส์

Professor Deji Akinwande จาก UT Austin เล่าว่า… นี่เป็นครั้งแรกที่เทคนิคการวัดความดันแบบคลาสสิคอย่างการใช้หมอนลมพันแขน ซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเทคนิคใหม่ที่เชื่อถือได้… Professor Deji Akinwande และ Professor Roozbeh Jafari ศาสตราจารย์ด้านชีวการแพทย์จาก Texas A&M จึงร่วมกันค้นคว้าวิจัยกับคณะนักวิจัยอีกหลายท่าน เพื่อนำเทคโนโลยีระดับนาโนจาก Graphene ที่พัฒนามาจากอะตอมของคาร์บอน ทำให้สามารถสร้างเครื่องวัดความดันขนาดเล็กจนสามารถฝังไว้ใต้ผิวหนังได้ไม่ต่างจากรอยสัก หรือ Tattoo… โดยตัวอุปกรณ์จะทำการวัดโดยการยิงกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ผิวหนัง จากนั้นจึงวัดค่าจากผลประเมินการตอบสนองของร่างกายแบบที่เรียกว่า Bio-impedance

Inflation

แนวโน้มเงินเฟ้อในวันที่เงินหาไม่ง่ายและค่าใช้จ่ายแพงขึ้น!

แนวโน้มสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงในทิศทางเดียวกัน ด้วยอัตราใกล้เคียงกัน ทำให้เงินเฟ้อโลกที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อเงินเฟ้อของไทยไม่มากนัก เพราะนอกจากเงินเฟ้อโลกที่สูงขึ้นจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวจากกำลังซื้อที่อั้นมาจากช่วงก่อนหน้า หรือ Pent-up Demand และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของภาครัฐทั่วโลก รวมทั้งปัจจัยพิเศษอย่างราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก หรือ World Commodity Price ที่ปรับสูงขึ้น เนื่องจากการผลิตหยุดชะงักในช่วงโควิดระบาด และ ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนส่งสินค้า

Tony Hsieh Delivering Happiness

Delivering Happiness – Tony Hsieh

ในระหว่างที่ Zappos ใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับ Amazon อยู่นั้น… Tony Hsieh ก็เริ่มเขียนหนังสือชื่อ Delivering Happiness ก่อนจะตีพิมพ์ออกวางตลาดในปี 2010 และกลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งใน New York Times Best Seller List ยาวนานถึง 27 สัปดาห์… และยังคงเป็นหนังสือเล่มหลักที่คนทำธุรกิจในปัจจุบันทั่วโลกต้องอ่าน