ความเคลื่อนไหวต่อกระแสการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่ทั่วโลกเผชิญอยู่ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งความเห็นที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย… ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวหลายแห่งไปเมื่อสัปดาห์ก่อนพอสรุปได้ว่า… ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น คาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพราะหากดูทิศทางเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี พ.ศ. 2565 คาดว่ามีทิศทางฟื้นตัวดีต่อเนื่องโดยคาดว่าการขยายตัวจะเติบโตเกินระดับ 3% ได้อยู่ โดยแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยจะควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ระดับต่ำ ไม่ผันผวน และ การขึ้นดอกเบี้ยของไทยไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับต่างประเทศ
โดยอุปสงค์ภายในประเทศที่กลับมาฟื้นตัว ซึ่งการบริโภคได้ขยายตัวต่อเนื่อง… การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว โดยคาดการณ์จากธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศเกิน 6 ล้านคน หรือ มากกว่านั้นในปีนี้… เศรษฐกิจไทยปีนี้จึงมีโอกาสจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.3% และ ปีหน้า 4.2%
ส่วนสถานการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับกว่า 7% และคาดการณ์ว่าจะเห็นจุดพีคได้ในไตรมา 3 ปีนี้ที่ 7.5% ซึ่งสูงกว่ากรอบนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดการณ์ไว้ที่ 1-3%
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า… ได้เห็นราคาสินค้าขยายวงการปรับราคาเพิ่มขั้น และ อาจเป็นตัวส่งให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาตามมา… เมื่อสมดุลความเสี่ยงเปลี่ยน การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยชัดเจนมากขึ้น นโยบายการเงินจึงต้องให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น และ ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่สะดุดแบบ Smoot Take Off… เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจึงต้องมี 2 ส่วนหลัก คือ
การคุมเงินเฟ้อให้อยู่ระดับต่ำ–ไม่ผันผวน แต่หากยิ่งปล่อยให้เงินเฟ้อสูงต่อเนื่องนาน จะคนคิดว่าเงินเฟ้อจะสูงต่อไปเรื่อยๆ ผู้ประกอบการปรับราคาสินค้า ปรับค่าจ้างขึ้น เหล่านี้จะส่งผลให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด… ทั้งนี้ก็อาจกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ กระทบกำลังซื้อการบริโภคต่างๆได้ ดังนั้น วิธีดูแลไม่ให้คาดการณ์เงินเฟ้อ หรือ เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด คือ การปรับนโยบายการเงินไปสู่ภาวะปกติโดยการปรับขึ้นดอกเบี้ย…
อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยต้องขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการขึ้นดอกเบี้ยที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุด คือ ต้องทำแต่เนิ่นๆ หากช้าเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด และ ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นเพื่อดูแลภายหลัง ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจและประชาชนมากขึ้น
การขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อลดลงหรืออยู่ในกรอบ ส่วนหนึ่งที่ผ่านมาที่เงินเฟ้อไม่หลุดกรอบเพราะคนเชื่อว่าแบงก์ชาติใส่ใจ และ Commit ที่จะรักษาเงินเฟ้อไม่ให้สูง ซึ่งจะช่วยดึงการคาดการณ์เงินเฟ้อคงอยู่ในกรอบ แม้เงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ในกรอบ ที่ 3% แต่ชะล่าใจไม่ได้ เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่อาจทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ค่าเงินบาท การขึ้นค่าแรง ดังนั้นหน้าที่ของธนาคารกลางคือ ดึงเงินเฟ้อกลับเข้าในกรอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบตลอดเวลา แม้ระยะสั้นอาจเห็นหลุดกรอบ แต่ระยะปานกลาง ระยะยาวเงินเฟ้อจะยังอยู่ในกรอบ ทั้งนี้มองว่าปีหน้าเงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในกรอบได้
สำหรับการที่จะให้เงินเฟ้อกลับเข้ามาอยู่ในกรอบได้ ธนาคารกลางต้อง Take Action ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องค่อยๆ ปรับไปสู่สภาวะปกติ… และ การขึ้นดอกเบี้ยของไทย ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับต่างประเทศ เพราะบริบทเศรษฐกิจการเงินช่วงนี้ต่างกันกับสหรัฐชัดเจน ที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวร้อนแรง เงินเฟ้อสูงขึ้นจากอุปสงค์ จึงต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรง และ เกิด Soft Landing ซึ่งแตกต่างกับไทยที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว การขึ้นดอกเบี้ยจึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้เป็น Smooth Takeoff
ข้อความทั้งหมดแปลว่า… ดอกเบี้ยขึ้นแน่ครับ!
เรียบเรียงอ้างอิงข่าวต้นฉบับจาก BangkokBizNews.com