Space Foods… ไอเดียการแปรรูปอาหาร และ แนวทาง Functional Food

การเดินทางขึ้นอวกาศออกไปอยู่นอกแรงโน้มถ่วงของโลก ไม่มีน้ำ ไม่มีอากาศและไม่มีอาหาร ซึ่งการขาดทั้ง 3 สิ่งหมายถึงรอดยากแล้วสำหรับชีวิต… แต่มนุษย์ก็หาทางออกให้ฝันชิ้นใหญ่ว่าด้วยการผจญภัยทั่วจักรวาลทั้งท่องเที่ยว อพยพและแสวงหาทรัพยากร รวมทั้งคำตอบดำมืดมากมายที่มนุษย์กลายเป็นธุลีละอองเล็กๆ ของจักรวาลเท่านั้นเอง

การค้นคว้าวิจัยส่วนที่เกี่ยวกับน้ำ อากาศและอาหารสำหรับนักท่องอวกาศ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งไม่ต่างจากเทคโนโลยีการสื่อสาร ขนส่งและเทคโนโลยีแขนงอื่นๆ

ปี 1962… John Glenn นักบินอวกาศ Project Mercury… ถือเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้กินอาหารในอวกาศ บนยาน Mercury Friendship 7… ก่อนที่โครงการเหยียบดวงจันทร์ของ NASA จะเดินหน้าประกาศความยิ่งใหญ่ของสติปัญญาเผ่าพันธ์มนุษย์โลกหลายปี

เที่ยวบินวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1962

นับจากจอห์น เกลน นักบินอวกาศคนแรกของสหรัฐ ที่เดินทางไปกับจรวดในภารกิจอวกาศมาจนถึงเหล่านักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติในทุกวันนี้ งานค้นคว้าวิจัยด้านโภชนาการสำหรับโครงการอวกาศพัฒนามาจนถึงจุดที่ นักบินอวกาศมีอาหารที่มีรสชาติถูกปาก บรรจุในหีบห่อที่สะดวกในการรับประทาน

เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเตรียมอาหารอวกาศ เราต้องนึกย้อนไปถึงนักสำรวจในยุคอดีตที่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ขณะเดินทางไกลทั้งทางบกและทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการบรรทุกอาหารให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการ อาหารต้องพร้อมที่จะรับประทานได้อยู่เสมอตลอดการเดินทาง และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์และเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดวิตามิน 

ในต้นยุคประวัติศาสตร์… มนุษย์ค้นพบเทคนิคการถนอมอาหารด้วยการทำให้แห้งและเก็บในภาชนะที่แห้งและเย็น การขจัดน้ำออกจากอาหาร ทำโดยการแล่เนื้อ ปลา และผลไม้บางชนิดออกเป็นแผ่นบางแล้วนำไปผึ่งแดด นอกจากนี้ก็มีการถนอมอาหารโดยการดองด้วยการคลุกกับเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือ

เทคนิคและวิธีการถนอมอาหารในยุคต่อมา มีพัฒนาการต่อมาเป็นการเก็บอาหารในภาชนะปิดสนิท การพาสเจอร์ไรส์ หรือ การใช้ความร้อนทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในอาหารได้ และ การบรรจุลงในกระป๋อง ทำให้ปัจจุบันมีอาหารหลายชนิดที่สามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน เทคโนโลยีล่าสุดในการถนอมอาหาร คือ การแช่เย็น และ การแช่แข็งอย่างฉับพลัน หรือ Quick Freezing ซึ่งทำให้สามารถคงสภาพของรสชาติและสารอาหารอยู่ได้

รูปแบบการถนอมและการบรรจุอาหารดังกล่าว… ใช้ได้ดีและมีประสิทธิภาพสำหรับเราๆ ท่านๆ บนพื้นโลกเท่านั้น… แต่ยังไม่เหมาะสมเพียงพอสำหรับการใช้งานในอวกาศ ซึ่งมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องคำนึงถึงในขั้นตอนการขนส่ง คือ น้ำหนักและปริมาตร นอกจากนั้นอุปสรรคที่ใหญ่กว่า คือ สภาวะไร้น้ำหนัก หรือ สภาวะความโน้มถ่วงต่ำ… จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการพิเศษในการเตรียมอาหาร การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการเก็บรักษา

อาหารอวกาศที่ใช้ในโครงการเมอร์คิวรีเมื่อปี ค.ศ. 1962 มีทั้งที่บรรจุในหลอดและเป็นก้อนพอดีคำ ห่อหุ้มด้วยพลาสติก, เครดิตภาพ: NASA | thaiastro.nectec.or.th

อาหารบนกระสวยอวกาศ ออกแบบให้เสิร์ฟบนถาด มีการใช้แม่เหล็ก สปริง และ เทปหนามเตย เพื่อตรึงมีดและซองอาหารลงในถาด

อาหารในโครงการเจมินี หรือ Project Gemini

อาหารอวกาศมีการพัฒนารูปแบบไปมากใน Project Gemini ระหว่างปี 1961–1966… มีความความหลากหลายของอาหารและบรรจุภัณฑ์ มีกระบวนการขจัดน้ำออกจากอาหาร ทำให้อาหารอวกาศในยุคนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับอาหารสด ทั้งสีและรสชาติ เช่น น้ำองุ่น น้ำส้ม น้ำแอปเปิล ขนมปังปิ้ง ช็อกโกแลต ซุปไก่ เนื้อตุ๋น ข้าว ไก่งวงและน้ำเกรวี

การขจัดน้ำออกจากอาหารเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ที่สามารถเกิดขึ้นเองได้สำหรับคนในประเทศเขตร้อน แต่ในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นต้องอาศัยกระบวนการที่เรียกว่า Freeze Drying หรือ การทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นการใช้ความเย็นทำให้น้ำในอาหารเป็นน้ำแข็ง และใช้ความดันระเหิดเกล็ดน้ำแข็งออกจากอาหารทันที… เนื่องจากมีเพียงน้ำเท่านั้นที่ออกมาจากอาหาร อาหารแช่แข็งที่ได้ จึงยังคงมีไขมันและรสชาติเช่นเดิม โดยเนื้อของอาหารจะมีรูพรุนขนาดเล็ก ที่เดิมเป็นที่อยู่ของน้ำ และสามารถดูดซึมน้ำที่นักบินจะฉีดเข้าไปผสมก่อนรับประทานในอวกาศได้ทันที

อาหารอวกาศที่ผ่านขั้นตอนการทำแห้งเยือกแข็ง มีประโยชน์ คือ ช่วยลดน้ำหนักบรรทุกของอาหารลงเนื่องจากน้ำถูกขจัดออกไป ทำให้อาหารมีอายุยาวนานขึ้น และสามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ยังมีรสชาติและลักษณะภายนอกละม้ายคล้ายคลึงกับอาหารสด เมื่อการบินในอวกาศใช้เวลานานขึ้น สิ่งที่นาซาต้องคำนึงถึงอีกอย่าง คือ สารอาหารที่นักบินควรจะได้รับ นักบินแต่ละคนจะได้รับอาหารประมาณ 0.58 กิโลกรัมต่อวัน มีการวางแผนเมนูอาหารล่วงหน้า โดยเมนูจะวนมาซ้ำเดิมทุกๆ 4 วัน

อาหารในโครงการอะพอลโล หรือ Project Apollo หรือ Apollo Program

โครงการอะพอลโลใช้รูปแบบการบรรจุอาหารอวกาศในภาชนะแบบเดียวกับ Project Gemini แต่มีความหลากหลายของชนิดอาหารให้นักบินอวกาศมีโอกาสได้เลือกรับประทานมากขึ้น อาหารกึ่งสำเร็จรูปแบบที่ต้องเติมน้ำก่อนรับประทาน ถูกบรรจุในถุงพลาสติกอัดความดัน… ก่อนรับประทานต้องเติมน้ำอุ่นด้วยกระบอกฉีดผ่านช่องที่ก้นถุง เมื่ออาหารได้รับน้ำ ปากถุงจะเปิดออก รับประทานโดยการใช้ช้อนตัก อาหารที่มีลักษณะกึ่งเหลวจะติดอยู่กับช้อน เวลาทานให้ความรู้สึกคล้ายกับรับประทานอาหารบนพื้นโลก

บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารอวกาศแบบใหม่ ที่นำมาใช้ในโครงการอะพอลโลเป็นถุงอาหารที่ไม่ต้องเติมน้ำอย่างแต่ก่อน เพราะมีน้ำบรรจุอยู่แล้ว แบ่งเป็น 2 แบบ อย่างแรกเป็นถุงพลาสติกหุ้มด้วยแผ่นอะลูมิเนียม อย่างที่สองเป็นอาหารกระป๋องคล้ายกับที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน… ข้อเสียของอาหารกระป๋อง คือ กระป๋องเปล่ามีน้ำหนักมากกว่าอาหารที่บรรจุอยู่ภายในถึง 4 เท่า

รูปแบบการบรรจุอาหารแบบใหม่นี้ ทำให้นักบินของโครงการอะพอลโลสามารถเห็นและได้กลิ่นอาหาร รวมทั้งใช้ช้อนในการรับประทานอาหารในอวกาศได้เป็นครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้นักบินอวกาศมีความสุขกับการรับประทานมากกว่าแต่ก่อนที่ต้องดูดกินจากหลอดบรรจุอาหาร

ภารกิจของโครงการอะพอลโลที่มีเป้าหมายส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ นับเป็นความท้าทายอย่างมากในการออกแบบอาหารอวกาศ บรรจุภัณฑ์แบบที่ใช้ใน Project Mercury ถูกนำมาใช้ใหม่เพื่อเป็นระบบอาหารสำรอง มีเครื่องดื่มและอาหารหลายชนิดที่นักบินในยุคนั้นสามารถรับประทานในอวกาศได้ เช่น กาแฟ เนื้อหมูอบ คอร์นเฟล็กซ์ ไข่เจียว ขนมปังกรอบ แซนด์วิช ขนมพุดดิ้ง สลัดทูน่า เนยผสมถั่วลิสงบด เนื้อวัวตุ๋นในน้ำมัน สปาเกตตี และไส้กรอก

ลูกเรือ Skylab 2 กำลังฝึกรับประทานอาหารที่หน่วยฝึกภาคพื้นดิน
Skylab… ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ซึ่งประจำการปี 1973… มีนักบินไปอาศัยบนยานทั้งหมด 3 คณะๆ ละ 3 คน | เครดิตภาพซ NASA

อาหารในโครงการสกายแล็บ หรือ Skylab

สกายแล็บเป็นสถานีอวกาศแห่งแรกของสหรัฐ… สถานีมีน้ำหนัก 75 ตัน อยู่ในวงโคจรรอบโลกระหว่างปี 1973-1979 มีนักบินไปเยือน 3 ครั้ง ในช่วงปี 1973-1974 มีความเสียหายเกิดขึ้นกับแผงกันสะเก็ดดาวและแผงโซลาร์เซลล์ขณะส่งยาน ทำให้นักบินชุดแรกต้องขึ้นไปซ่อมสถานีในเดือนพฤษภาคม 1973 นักบินชุดสุดท้ายกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1974 โดยสถานีอวกาศสกายแล็บค่อยๆ ดิ่งลงจนตกสู่บรรยากาศโลกในวันที่ 11 กรกฎาคม 1979

การรับประทานอาหารบนสถานีอวกาศสกายแล็บแตกต่างจากการรับประทานอาหารบนยานอวกาศในโครงการอื่นๆ ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากสกายแล็บเป็นสถานีอวกาศที่มีตู้เย็น มีเครื่องแช่แข็ง ถาดอุ่นอาหาร และโต๊ะ เวลาพักรับประทานอาหารบนสกายแล็บจึงให้ความรู้สึกคล้ายกับการรับประทานอาหารที่บ้าน เมื่อเทียบกันแล้วความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างการทานอาหารบนสถานีอวกาศสกายแล็บกับที่บ้าน คือ สภาพแวดล้อมที่มีความโน้มถ่วงต่ำ

เสบียงอาหารบนสถานีอวกาศสกายแล็บออกแบบไว้สำหรับนักบินอวกาศ 3 คน ในภารกิจที่ยาวนานประมาณ 112 วัน เมนูอาหารออกแบบสำหรับนักบินแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยมีการคำนวณความต้องการสารอาหารของแต่ละคนซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ น้ำหนักตัว และกิจกรรมที่ทำบนยาน

อาหารบนสถานีอวกาศสกายแล็บบรรจุในภาชนะที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ก่อนรับประทานนักบินต้องนำอาหารไปอุ่นบนถาดอุ่นอาหาร แต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อหมู พริก มันฝรั่ง สเต๊ก หน่อไม้ฝรั่ง รวมทั้งไอศกรีม

โครงการอะพอลโล-โซยุซ หรือ Apollo – Soyuz

Project Apollo – Soyuz เป็นโครงการความร่วมมือครั้งแรกระหว่างสหรัฐอเมริกา และโซเวียต ในกิจการอวกาศ… มีการเชื่อมต่อกันระหว่างยานอวกาศของ 2 ชาติในวงโคจรรอบโลก เกิดขึ้นในวันที่ 17 เดือนกรกฎาคม ปี 1975 ระหว่างยาน  Apollo 18 กับยาน Soyuz 9 และ เป็นเที่ยวบินสุดท้ายของยานอวกาศในโครงการอะพอลโล ซึ่งยานใน Project Apollo ลำสุดท้ายที่ไปลงดวงจันทร์ คือ Apollo 17

ยาน  Apollo 18 ของสหรัฐอเมริกามีนักบิน 3 คน ขณะที่ยานโซยุซของโซเวียตมีนักบิน 2 คน ยานทั้งสองขึ้นจากพื้นโลกในวันที่ 15 กรกฎาคม เข้าเชื่อมต่อกันในวันที่ 17 กรกฎาคม… โดย Thomas P. Stafford และ Alexei Leonov นักบินจากสองชาติ จับมือกันกลางอวกาศเป็นครั้งแรก ยานทั้งสองลำเชื่อมต่อกันนานเกือบ 2 วัน มีการแลกเปลี่ยนธงชาติและของที่ระลึก รับประทานอาหารร่วมกัน และ ทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันหลายอย่าง ก่อนจะแยกจากกันในวันที่ 19 กรกฎาคม 1975

อาหารอวกาศในโครงการนี้เป็นอาหารแบบเดียวกับที่ใช้ในโครงการอะพอลโลและสกายแล็บ อาหารอวกาศของรัสเซียเป็นอาหารกระป๋องและอาหารที่ใส่ในหลอดอะลูมิเนียม ยานของแต่ละชาติมีเครื่องอุ่นอาหารขนาดเล็ก เมนูอาหารจัดไว้เฉพาะสำหรับนักบินแต่ละคน โดยทั่วไปแต่ละมื้อประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ขนมปัง เนยแข็ง ซุป ผลไม้แห้ง ถั่ว กาแฟ และขนมเค้ก

โครงการกระสวยอวกาศ หรือ Space Shuttle Program

กระสวยอวกาศขององค์การนาซาหรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าระบบขนส่งอวกาศ หรือ Space Transportation System หรือ STS… เป็นยานอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมโครงการแรกของโลก ที่สามารถนำบางส่วนของยานกลับมาใช้งานใหม่ได้ สามารถบรรทุกสัมภาระที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากขึ้นไปในวงโคจรรอบโลก ภารกิจสำคัญที่ผ่านมา เช่น การกู้ดาวเทียมที่หมดอายุกลับมายังโลก การรับ-ส่งนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ และภารกิจซ่อมบำรุงกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล รวมทั้งการทดลองต่างๆ ในอวกาศ

โครงการกระสวยอวกาศเริ่มต้นขึ้นในปลายยุค 1960 และมีบทบาทสำคัญในภารกิจอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมตลอดมา กระสวยลำแรกที่ใช้ทดสอบการบินและการร่อนลงจอดในโครงการนี้มีชื่อว่าคอนสติทิวชัน หรือ Constitution ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น  Enterprise ตามคำเรียกร้องของบรรดาแฟนภาพยนต์ซีรีส์สตาร์เทร็ก หรือ Star Trek

ต่อมานาซาจึงสร้างกระสวยอวกาศ 5 ลำที่ใช้งานได้จริง ทะยอยออกมาในระหว่างปี 1979-1991 ได้แก่ กระสวยอวกาศโคลัมเบีย หรือ Columbia… กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ หรือ Challenger… กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี หรือ Discovery… กระสวยอวกาศแอตแลนติส หรือ Atlantis… และกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ หรือ Endeavour… ในจำนวนนี้มี 2 ลำที่ระเบิดเสียหายขณะเดินทางอยู่เหนือพื้นโลก คือ กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์และกระสวยอวกาศโคลัมเบีย แต่อุบัติเหตุการระเบิดของกระสวยอวกาศโคลัมเบียเมื่อต้นปี 2003 ก็ทำให้โครงการอวกาศของสหรัฐล่าช้า จนมีเอกชนเกิดขึ้นในระนิเวศน์การขนส่งขึ้นอวกาศจนถึงปัจจุบัน

กระสวยอวกาศสามารถรองรับนักบินได้ 10 คน แต่โดยมากแต่ละครั้งจะมีนักบิน 5-7 คน นักบินบนกระสวยอวกาศมีเมนูอาหารให้เลือกถึง 74 ชนิด เครื่องดื่มอีก 20 ประเภท การเพิ่มขึ้นของเมนูอาหารในโครงการกระสวยอวกาศนี้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากมีนักบินอวกาศที่เดินทางไปกับกระสวยอวกาศจำนวนมากขึ้น นาซาเองก็มีกำหนดการที่แน่นอนในการส่งกระสวยอวกาศแต่ละลำขึ้นไปปฏิบัติภารกิจล่วงหน้า

นักบินอวกาศแต่ละคนสามารถเลือกหรือออกแบบมื้ออาหารได้เอง ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย อาหารแต่ละมื้อบนกระสวยอวกาศจะมีการตระเตรียมภายในห้องครัว มีท่อน้ำและเตาอบ ท่อน้ำสามารถจ่ายน้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น สำหรับเติมน้ำให้กับอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ผ่านการอบแห้งมาจากพื้นโลก

เตาอบที่ใช้บนกระสวยอวกาศเป็นเตาอบที่อาศัยกระบวนการพาความร้อน อาหารมื้อหนึ่งสำหรับนักบิน 4 คน จะใช้เวลาในการเตรียมเพียง 5 นาที แต่หากต้องมีการอุ่นอาหารอาจใช้เวลา 20-30 นาที ถาดใส่อาหารจะทำหน้าที่เป็นจานอาหารไปในตัว เวลารับประทานนักบินจะใช้เข็มขัดผูกติดกับที่นั่ง เครื่องมือที่ใช้ก็เหมือนกับการรับประทานอาหารบนโลก คือ มีด ช้อน และส้อม แต่ที่ขาดไม่ได้คือกรรไกร! สำหรับตัดปากถุงบรรจุอาหารนั่นเอง

นอกจากอาหาร สิ่งที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็มีการพัฒนาจากเดิมเพื่อลดน้ำหนักและปริมาตรของสัมภาระที่เป็นเสบียง เช่น มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มขึ้นใหม่ ในปี 1991 นาซาหันไปใช้วัสดุที่เป็นพลาสติก มีความยืดหยุ่นและน้ำหนักเบา นอกจากนี้ยังออกแบบเครื่องอัดขยะเพื่อลดปริมาตรของขยะลงด้วย

สถานีอวกาศนานาชาติ หรือ International Space Station

สถานีอวกาศนานาชาติกำเนิดขึ้นหลังจากความสำเร็จของสถานีอวกาศสกายแล็บของสหรัฐฯ และสถานีอวกาศมีร์ของรัสเซีย เป็นโครงการร่วมกันระหว่างแคนาดา ยุโรป ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐฯ นับจากเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2000 จนถึงปัจจุบัน มีนักบินอวกาศสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นไปประจำการอยู่บนสถานีคราวหนึ่งอย่างน้อย 2 คน ส่วนใหญ่เป็นนักบินอเมริกันและรัสเซีย บางคราวก็มีนักบินจากชาติอื่นๆ รวมทั้งนักท่องเที่ยวอีก 2 คน

ปัจจุบันสถานีอวกาศยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ อุบัติเหตุที่เกิดกับกระสวยอวกาศโคลัมเบียทำให้แทบทุกอย่างหยุดชะงักลง โมดูลส่วนอื่นๆ ที่ต้องนำขึ้นไปเชื่อมต่อล้วนมีน้ำหนักมาก ขณะนี้สถานีอวกาศนานาชาติโคจรอยู่ที่ระดับความสูง 355-367 กิโลเมตร วนรอบโลกครบหนึ่งรอบในเวลาประมาณ 92 นาที

กระสวยอากาศใช้เซลล์เชื้อเพลิงให้พลังงานไฟฟ้าโดยมีน้ำเป็นผลพลอยได้ ซึ่งนำไปใช้ในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับนักบินอวกาศ แต่บนสถานีอวกาศนานาชาติ พลังงานไฟฟ้าสร้างขึ้นจากแผงเซลล์สุริยะ จึงไม่มีน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ น้ำบนสถานีอวกาศนานาชาติผ่านกระบวนการรีไซเคิลจากหลายแหล่งแต่ไม่เพียงพอสำหรับในมาใช้ในอาหาร ดังนั้นอาหารที่ใช้บนสถานีอวกาศจึงเป็นอาหารแช่แข็ง หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการคงอุณหภูมิมาแล้ว คือ ผ่านกระบวนการทางความร้อน นำมาบรรจุกระป๋อง และเก็บที่อุณหภูมิห้อง ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผสมก่อนบริโภค

ประเด็นเรื่องอาหารที่ผมพาย้อนกลับไป 4-50 ปีแถมออกนอกโลกไปอีกต่างหากก็เพราะว่า… เทคโนโลยีอาหารมากมาย ต่อยอดจากสิ่งที่นักบินอวกาศ จำเป็นจะต้องพกเสบียงเดินทางออกนอกโลกให้เพียงพอ… ซึ่งไม่ว่าจะเรียกว่าถนอมอาหาร… แปรรูปอาหาร… หรือเทคโนโลยีอาหาร ทั้งหมดล้วนพามนุษย์พัฒนาเรื่องอาหารการกินไปไกลกว่าความเคยชินเดิมๆ แน่นอน 

ที่จะบอกก็คือ นวัตกรรมอาหารยังมีที่ว่างมากมายในวันที่ธุรกิจบริการอาหารในที่… ยังมีโจทย์ท้าทายในมุม Hospitality Food Services อยู่อีกมาก… ซึ่งโจทย์การพัฒนานวัตกรรมแบบที่ออกจากความธรรมดา อย่างเช่นมนุษย์ไปดวงจันทร์จะกินยังไง ถือเป็นวิธีคิดหาคำตอบของหลายท่านที่กำลังเลือกหนทางว่าจะคลำทางตามแสงระยิบทิศไหนออกจากความมืด

Space Food

ให้ดาวส่องแสงนำทางดูหน่อยมั๊ยครับ เพราะโลกนี้คงต้องมีกิจการบริการอาหารในอวกาศในเร็ววันนี้ค่อนข้างแน่… ซึ่งอาจเป็นท่านก็ได้ที่เป็นคนแรก!

คัดและเรียบเรียงจาก วารสารทางช้างเผือก ฉบับกุมภาพันธ์ 2548 และ สำเนาเวบไซต์ http://thaiastro.nectec.or.th/library 

อ้างอิง

Share this post

Add Properea's Friend

เพิ่ม Properea.com เป็นเพื่อนทาง Line
ท่านจะได้ Link บทความใหม่ส่งตรงให้อย่างสม่ำเสมอโดยรบกวนแต่น้อย

Related Post

Jackson Hole Symposium และ สถานการณ์ค่าเงินยูโรดอลลาร์

พลันที่ Jerome Powell ยืนยันการขึ้นดอกเบี้ยอย่าชัดเจน… ราคาหุ้นในดัชนี S&P 500 ก็ไหลลงพร้อมกันกว่า 3.4% ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยืนยันว่า… ร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนดัชนี Nasdaq ก็ดิ่งลงมากกว่า 4% เช่นกัน ในขณะที่ราคาคริปโตหลักๆ อย่าง BTC และ ETH ก็ติดลบทันทีกว่า 10% ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง… แต่ที่น่าติดตามท่ามกลางความผันผวนที่สุดก็คือค่าเงินยูโร หรือ ยูโรดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็อ่อนค่าลดลงต่อเนื่องจนต่ำกว่า 1.1 USD/EURO มาตั้งแต่สงครามรัสเซีย–ยูเครนระเบิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 กระทั่งหลุด 1 USD/EURO ลงไปถึง 0.98XXX USD/EURO ซึ่งถือว่าไม่ปกติ และ คุ้นชินนักที่ดอลลาร์สหรัฐแพงกว่า หรือ แข็งค่ากว่ายูโรดอลลาร์

Amelia Earhart

The Most Effective Way To Do It, Is To Do It – Amelia Earhart

Amelia Mary Earhart เป็นนักเขียนและนักบินหญิงคนแรกของอเมริกาที่ขึ้นบินในฐานะผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปกับเที่ยวบินของ Wilmer Stultz ในปี 1928… และเธอโด่งดังโดดเด่นด้วยการขับเครื่องบิน Lockheed Vega 5B Earhart โดยทำการบินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกแบบไม่แวะพัก และกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ประสบความสำเร็จกับภารกิจการบิน

Sir David Paradine Frost

Don’t aim for success if you want it ― Sir David Paradine Frost

Sir David Paradine Frost ถือเป็นตัวอย่างที่ดีงามและคนสายสื่อสารมวลชน หรือคนข่าวที่ประสบความสำเร็จ และมีดีในตัวจนวันสุดท้าย… David Frost เสียชีวิตในวันที่ 31 สิงหาคมปี 2013 ด้วยวัย 74 ปีในเรือสำราญ Queen Elizabeth ที่เขาจะต้องขึ้นกล่าวสุนทรพจน์… ซึ่ง David Frost ถือเป็นคนกล่าวสุนทรพจน์ที่มีข้อความดีๆ ในสารจากเขาถึงคนฟังเสมอ…

Agriculture Technology

นวัตกรรมการเกษตรในประเทศไทย โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยแพร่นวัตกรรมการเกษตร 7 รูปแบบ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจทำอาชีพเกษตรกรรม หลังพบช่วงการระบาดโควิด – 19 คนไทยย้ายกลับถิ่นฐาน และหาลู่ทางสร้างอาชีพใหม่ด้วยการประกอบอาชีพด้านเกษตร