ข่าวการซื้อที่ดินเสมือนใน The Sandbox เพื่อตั้งสำนักงานใหญ่ หรือ Headquarter หรือ HQ ของ SCB 10X ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์… ซึ่ง The Sandbox เป็นแพลตฟอร์มเกมบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิด Play-to-Earn หรือ เล่นไปรวยไป โดยผู้เล่น หรือ สมาชิกที่เข้าสู่ Sandbox ก็จะได้รางวัลเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลจากการทำกิจกรรมในเกม หรือ ในแพลตฟอร์ม… และยังสามารถเข้าไปลงทุนทำธุรกิจสินทรัพย์ NFT ใน Sandbox ได้ตั้งแต่ลงทุนใหญ่ๆ อย่างการซื้อที่ดิน ไปจนถึงการสร้าง ซื้อ–ขายสินทรัพย์ดิจิทัลใน Sandbox ได้ไม่ต่างจากโลกภายนอกที่เราอยู่อาศัยจริงทั้งกินข้าวอาบน้ำ และ ปลดทุกข์ได้จริง
กรณีของ SCB 10X ใน The Sandbox โดยส่วนตัวถือว่า “สุดติ่ง” ยิ่งกว่าการเทหน้าตักซื้อ Bitkub ไปก่อนหน้านั้นมากมายเทียบกันไม่ได้ เพราะแพลตฟอร์ม Sandbox มีความโดดเด่นของการเป็น “ช่องทางการสื่อสาร” ในความเป็นโลกเสมือนที่ขับเคลื่อนแบบธุรกิจเกมบนเทคโนโลยีบล็อกเชน… ซึ่งธุรกิจเกมถือว่าเป็น “สื่อความบันเทิง” ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดมานานหลายสิบปี โดยทิ้งห่างหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และ วิทยุ–โทรทัศน์มาตั้งแต่ยุค 90s สมัยที่มีเกมคอมเตอร์แบบตลับขายโน่นแล้ว… เพียงแต่โมเดลรายได้ของเกมยุคนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อโดยตรง เพราะยังคงเป็นเพียง “สื่อความบันเทิง” เหมือนหนังละครเรื่องหนึ่งเท่านั้น
แต่เกมในยุค Metaverse มีความเป็นแพลตฟอร์มสื่อไม่ต่างจาก Facebook หรือ Google หรือ YouTube… ซึ่งนักการตลาด และ นักกลยุทธ์ธุรกิจสมัยใหม่รู้กันหมดแล้วว่า แพลตฟอร์มเกมในยุค Metaverse จะกลายเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่มีศักยภาพในการผลักดันธุรกิจ และ เป็นแพลตฟอร์มรองรับธุรกิจในยุคบล็อกเชนอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง… การรุกของ SCB 10X เข้าสู่อาณาจักร Sandbox จึงเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าจับตามอง และ น่าลอกการบ้านอย่างมาก
คุณมุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer ของ SCB 10X ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว THE STANDARD ว่า… ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างออกแบบ คิดธีมและวางคอนเซปต์ของ Headquarter หรือ HQ ที่จะเข้าไปเปิดใน The Sandbox ซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า เนื่องจากขั้นตอนการวางแผนต่างๆ จะใกล้เคียงกับการสร้างตึกจริงๆ ที่ต้องเริ่มตั้งแต่การหาที่ดิน การพูดคุยกันระหว่างสถาปนิกและวิศวกร การตกแต่งภายนอก ภายใน การเลือกวัสดุ เลือกสี และ รายละเอียดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม… ในแง่ของการถือครองที่ดินในโลกเสมือนซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น เนื่องจาก SCB 10X อยู่ภายใต้ธนาคาร จึงไม่สามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งหน่วยงานกำกับยังไม่อนุญาต ทำให้บริษัทอาจต้องหันไปใช้วิธีเช่าที่ดินในโลกเสมือนแทน… เมื่อสร้างเสร็จแล้ว HQ ของบริษัทใน The Sandbox จะถูกนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย เช่น… จัดอีเวนต์เกี่ยวกับบล็อกเชน DeFi ซึ่งผู้ที่ต้องการรับชมหรือฟังสามารถสร้าง Avatar ขึ้นมาเพื่อร่วมงานได้ ขณะเดียวกัน ก็สามารถจัดงานแถลงข่าวหรือเปิดให้คนมาพบกับซีอีโอของแบงก์ในโลกเสมือนได้ ซึ่งปัจจุบัน ทางทีมได้สร้าง Avatar สำหรับบอร์ดบริหารขึ้นมาแล้ว
นอกจากนี้… ด้วย 10X เป็นบริษัทลูกของธนาคารก็อาจมีการตั้งสาขาธนาคารในโลกเสมือนขึ้นใน HQ บน The Sandbox เพื่อให้บริการธุรกรรม เช่น Asset Management หรือ รับฝากเงินในโลกเสมือนเพื่อแลกกับผลตอบแทนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยบริษัทในเครือไทยพาณิชย์อื่นๆ ก็สามารถเข้ามาใช้ HQ ของ 10X ได้ เช่น AlphaX อาจนำรถหรูเข้ามาจัดแสดงในโลกเสมือน
คุณมุขยา พานิช ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า… สิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำใน The Sandbox คือ การเปิดแกลเลอรีแสดงผลงาน NFT ของศิลปินไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเผยแพร่ให้โลกรู้ว่าเรามีศิลปินเก่งๆ ด้านนี้เยอะมาก ทำให้ผลงานของคนไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีศิลปินไทยที่ได้รางวัลจากการประกวดออกแบบใน Metaverse หลายคนแล้ว
ส่วนในประเด็นงบประมาณ… คุณมุขยา พานิช ให้ข้อมูลว่า… ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปออกมาเป็นรายละเอียด แต่เบื้องต้นคงจะมีค่าใช้จ่ายจากการเช่าที่ดินในโลกเสมือนและการจ้าง Outsource นักออกแบบคนไทยบางส่วนที่จะเข้ามาช่วยเสริมทีมที่ SCB 10X ที่มีอยู่แล้ว เพราะโปรเจกต์นี้ต้องใช้คนเยอะพอสมควร โดยเฉพาะกราฟิกดีไซเนอร์…
เราเชื่อว่าโลก Metaverse ที่เป็น Web 3.0 ซึ่งเปิดให้คนสามารถสร้าง เป็นเจ้าของและหารายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์มได้แบบ The Sandbox จะเป็นอะไรที่เติบโตได้อย่างมาก และ มีโอกาสที่สินทรัพย์ต่างๆ จะโอนข้ามแพลตฟอร์มระหว่างกันได้ด้วย ใน The Sandbox ตอนนี้ก็เริ่มมีศิลปินดังอย่าง Snoop Dogg เข้ามาร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ มีการถือครองที่ดิน และ เร็วๆ นี้น่าจะมีการจัดคอนเสิร์ตใน Metaverse ซึ่งจะดึงดูดคนให้เข้ามาสู่โลกใหม่นี้ได้มากขึ้น
คุณมุขยา พานิช ยังเสริมอีกว่า… นอกจาก The Sandbox แล้ว ในอนาคต SCB 10X ยังมีแผนจะเข้าไปลงทุนในโลก Metaverse บนแพลตฟอร์มอื่นๆ เนื่องจากบริษัทมีนโยบายให้ความสำคัญกับการลงทุนใน Disruptive Technologies โดยล่าสุด บริษัทยังได้รับงบลงทุนในกลุ่มบล็อกเชน และ DeFi เพิ่มจาก 50 ล้านดอลลาร์ เป็น 110 ล้านดอลลาร์… แต่การลงทุนจะโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก
ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากสำนักข่างออนไลน์คุณภาพ THE STANDARD ครับ… ซึ่งทั้งหมดนี้คือความเปลี่ยนแปลงพลิกผัน หรือ Disruptive Change ที่ใครช้าก็ก็ย่อมถูกกลืนกิน
เพราะเราอยู่ในยุค “ปลาเร็ว กิน ปลาช้า” มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว!!!
Reference.,.