หลังพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า “ภาษีที่ดิน” ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บรายปี ตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลจะเป็นหน่วยงานท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงานจัดเก็บ ซึ่งจะเริ่มต้นดำเนินงานจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 นั้น
มีการคาดการณ์กันว่า วิธีการเก็บภาษีแบบใหม่จะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท
นับจากมีนโยบายการจัดการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งของเดิมเรียกว่า ภาษีโรงเรือน ประเด็นที่น่าสนใจ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลาย ๆ แห่งยังไม่มีความพร้อมในการรับมือกับระบบจัดเก็บรูปแบบใหม่ ซึ่งมีรูปแบบการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน
ดร.ไกรวุฒิ ใจคำปัน อาจารย์ประจำสำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยโครงการการพัฒนาระบบบริหารจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เล่าว่า “แบบเดิมที่เรียกว่า ภาษีโรงเรือนไม่ต้องมีการคำนวณอะไรมาก และจ่ายเท่าเดิม… ปีต่อปี ขณะที่อัตราภาษีรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะที่เรียกว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต้องมีการคำนวณใหม่ ซึ่งจะมีเรื่อง… ขนาดของที่ดิน ราคาประเมิน ซึ่งจะแยกเก็บกับสิ่งปลูกสร้างคือตัวบ้านหรือตัวอาคาร แต่กฎหมายใหม่ถ้าเป็นที่อยู่อาศัยก็อาจมีการยกเว้น กรณีทำประโยชน์ก็ต้องมีการคำนวณภาษีตามที่กฎหมายระบุ ซึ่งต้องดูเป็นรายๆ ไป”
ดร.ไกรวุฒิ ใจคำปัน อธิบายเพิ่มว่า เมื่อรูปแบบการเรียกเก็บภาษีเปลี่ยน การคำนวณภาษีก็ต้องเปลี่ยน ขณะที่กลุ่มงานที่รับผิดชอบเรื่องการจัดเก็บภาษีโดยตรงในองค์การบริหารส่วนตำบลหลายๆ แห่งยังขาดความพร้อม โดยเฉพาะบุคลากรที่ส่วนมากรับผิดชอบงานค่อนข้างมาก และนี่คือข้อกังวลจนนำไปสู่การดำเนินงานวิจัย
สำหรับโครงการวิจัยการพัฒนาระบบบริหารจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินงานพร้อมกัน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เป้าหมาย คือ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นั่นหมายความว่า หลังจบโครงการ อปท. จะต้องศักยภาพในการจัดเก็บภาษี ซึ่งก็คือรายได้ต้องเพิ่มขึ้น
เมื่อมีกฎหมายใหม่ประกาศใช้ การทำความเข้าใจกับผู้เสียภาษีเป็นเรื่องสำคัญ ตัวงานวิจัยเองอยากทราบว่า รูปแบบภาษีแบบเดิมและแบบใหม่แตกต่างกันอย่างไร รายได้จะเพิ่มขึ้นตามที่ประมาณการหรือไม่
สมมติว่าตัวเลขที่ออกมาไม่ตรงกับตัวเลขการจัดเก็บภาษีแบบเดิม ตรงนี้ต้องรอข้อมูลหลังจากงานวิจัยจบลง แต่ที่ต้องดำเนินงานในปัจจุบันคือ การค้นหารูปแบบและวิธีการจัดเก็บภาษีที่สามารถจัดเก็บได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในกระบวนการทำงานก็ต้องมีการพัฒนาศักยภาพบุคคลกรให้มีทักษะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสิ่งที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดคือ ทักษะ และเครื่องมือ และองค์ความรู้ที่ใช้ในการสำรวจข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำเป็นฐานข้อมูลภาษี เพราะระบบการเก็บภาษีตามกฎหมายใหม่ จะมีความละเอียดมากขึ้น การลงพื้นที่สำรวจจึงเป็นหัวใจสำคัญของการจัดเก็บภาษีตัวใหม่ เพราะเป็นวิธีการจัดเก็บที่ถูกต้องที่สุด