ช่วงกลางตุลาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา… ผมบุ๊คมาร์คข่าวรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ในโอกาสกล่าวปาฐกถาพิเศษในช่วงพิธีเปิดการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ ครั้งที่ 11 หรือ 11th Pan-Beibu Gulf Economic Cooperation Forum ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์กล่าวปาฐกถาไว้อย่างน่าสนใจว่า…
กรอบความร่วมมือรอบอ่าวเป่ยปู้ เป็นความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคที่มีความสําคัญ ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีน และเป็นจุดยุทธศาสตร์สําคัญของ “เส้นทางสายไหมทางทะเล” เป็นยุทธศาสตร์สําคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีนกับอาเซียน
ซึ่งทั้งสองฝ่าย ได้ร่วมกันผลักดันความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน รวมถึงด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ทําให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโต อย่างรวดเร็ว และ ท่าเรือรอบอ่าวเป่ยปู้ยังเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งที่สําคัญในการลําเลียงสินค้าในรูปแบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ทั้งทางระบบราง ทางน้ํา ทางถนน และทางอากาศ โดยมีภูมิภาคตะวันตกของจีนกับอาเซียนเป็นแกนหลัก และขยายความเชื่อมโยงต่อไปยังทวีปเอเชียกลาง และยุโรปได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน “การท่าเรือแห่งประเทศไทย” ได้มีความร่วมมือกับ “ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้” ผ่านการจัดทําข้อตกลงท่าเรือพี่น้องระหว่าง “ท่าเรือแหลมฉบัง ราชอาณาจักรไทย” กับ “ท่าเรือชินโจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน” เพื่อขยายความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ท่าเรือร่วมกัน และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่าเรือแหลมฉบัง ได้เปิดเส้นทางเดินเรือมุ่งตรงสู่ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรทางบกที่ติดขัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้… ได้มีการพัฒนาการขนส่งสินค้าแบบควบคุม อุณหภูมิ และมีคลังสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ ทําให้ผลไม้ไทยกว่า 200 ตันถูกขนส่งทางเรือจากท่าเรือแหลมฉบังของไทยไปขึ้นที่ท่าเรือฝางเฉิงก่าง ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยสินค้าที่ไปถึงท่าเรือแล้ว จะได้รับการกระจายสินค้าต่อทางรถบรรทุกหรือทางรถไฟไปยังมณฑลทางภาคกลางและภาคตะวันตกของจีน ทําให้การส่งออกผลไม้สดและสินค้าเกษตรของไทยไปจีนสะดวกรวดเร็วขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงการขนส่งทางเรือระหว่างสองประเทศ ที่มีแนวโน้มการพัฒนาไปอย่างมั่นคงต่อเนื่อง
รวมทั้ง รัฐบาลไทยเองก็มีนโยบายเร่งผลักดันความร่วมมือเชิงลึกกับมณฑลต่างๆ ของจีน ซึ่งรวมถึง “มณฑลไห่หนาน” ที่รัฐบาลจีนอยู่ระหว่างผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือการค้าเสรีระดับโลก ในการนี้ กระทรวงพาณิชย์กําลังอยู่ระหว่างการเจรจากับมณฑลไห่หนาน เพื่อทําข้อตกลงการค้าเป็นการเฉพาะระหว่างกัน ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่
- การส่งเสริม SMEs
- การส่งเสริมนวัตกรรมและบริการสร้างสรรค์ อาทิ ดิจิทัลคอนเทนต์
- การอํานวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมทางการค้า
- การส่งเสริมการค้าในรูปแบบ e-Commerce จะเริ่มเห็นผลที่เป็นรูปธรรมภายในปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองประเทศได้ประโยชน์ร่วมกันเป็นอย่างมาก
อนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมการประชุมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งสมาชิกประกอบด้วยประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับอ่าวเป่ยปู้ หรือ อ่าวตังเกี๋ย และทะเลจีนใต้ ได้แก่ จีน และสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย โดยกรอบความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาให้อ่าวเป่ยปู้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ขยายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก และที่ผ่านมารัฐบาลจีนให้การสนับสนุนและผลักดัน “กว่างซีให้เป็นประตูสู่อาเซียน” และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลในทศวรรษที่ 21 และข้อริเริ่ม BRI ของจีน
ผมลอกคำกล่าวปาฐกถาของคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ มาจากเวบไซต์ transtimenews.co ครับ… เนื่องจากข้อมูลในมือของผมส่วนหนึ่ง ที่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจหลายมิติ ตลอดเส้นทางโลจิสติกส์ของคู่ค้าไทย–จีน ที่กระชับเส้นทางทางบกเข้าหากัน ผ่านประเทศเพื่อนบ้านลาวและเวียดนาม ซึ่งแผนพัฒนาของแต่ละพื้นที่ในแต่ละประเทศ อันเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ในมือของประเทศเจ้าของพื้นที่ ทั้งไทย ลาว เวียดนามและจีนเอง… ต่างก็เปิดแผนพร้อมเป้าหมายการเติบโตด้วยวาระพึ่งพิงกันและกันอย่างน่าสนใจ
เวบไซต์ thaibizchina.com ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้ไว้ว่า… เขตเศรษฐกิจอ่าวเปยปู้กว่างซี มีพื้นที่รวม 1/5 ของมณฑลกว่างซีหรือ ราว 43,732 ตารางกโลเมตร… มีจำนวนประชากรคิดเป็น 1/4 ของมณฑลหรือราว 13.7 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจ 1/3 ของมณฑล มีรายได้การคลัง 2/5 ของมณฑล เป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจหลักของมณฑลกว่างซีก็ว่าได้
ข้อมูลจากสำนักงานเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้และความร่วมมือกับอาเซียน หรือ Beibu Gulf Economic Zone & Cooperation with ASEAN Office of Guangxi หรือ 广西北部湾经济区和东盟开放合作办公室 ได้ประกาศแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 ซึ่งดำเนินการไปแล้วระหว่างปี พ.ศ. 2559-2563 นั้น
มีการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคลจีน-อาเซียน ผ่านความร่วมมือระดับ “การศึกษาวิจัยแผนงานแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกัน” เพื่อเร่งสร้างฐานความร่วมมือด้านทรัพยากรบุคคลกับอาเซียน… มีการทดลองดำเนินการเรื่อง “การยอมรับวุฒิการศึกษาและคุณวุฒิวิชาชีพร่วมกับอาเซียน” เพื่อสนับสนุนโอกาสการเข้าทำงานด้วยความเสมอภาคเท่าเทียบกับประชาชนจีน
นอกจากนั้น… แผนรวมกลุ่มเมือง หรือ Urban Integration ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานด้านการปกครองในเขตเมืองสมาชิก 4 เมืองในเขตอ่าวเป่ยปู้ ได้แก่ นครหนานหนิง เมืองเป๋ยไห่ เมืองชินโจว และเมืองฝางเฉิงก่าง… เพื่อให้ประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนแต่ละเมือง ได้ใช้ระบบประกันสุขภาพ ระบบโทรคมนาคม ระบบการเงินการธนาคาร และสิทธิ์การซื้ออสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งผ่อนคลายนโยบายสำมะโนครัว รวมทั้งระบบประกันสุขภาพของเมืองกับชนบทบนมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะการชำระค่ารักษาพยาบาลผ่านบัตรประกันสังคมในต่างเมือง… ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการลงทุนของภาคเอกชนในเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้
อีกประเด็นหนึ่งคือการพัฒนาความร่วมมือด้านการแพทย์กับอาเซียน เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาลกับอาเซียน รวมทั้งการผ่อนคลายความเข้มงวดในการเข้าสู่ตลาดด้านการบริการทางการแพทย์ การสร้างกลไกความร่วมมือด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาลระหว่างจีนกับชาติสมาชิกอาเซียนด้วย
ผมต้องยกข้อมูลจากแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้ ฉบับที่ 13 ซึ่งสิ้นสุดไปแล้ว… และกำลังตามข้อมูลแผนฉบับ 14 ของสำนักงานเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้และความร่วมมือกับอาเซียน… ซึ่งผมยังหาไม่ได้ครับ ท่านใดพอมีสำเนาแบ่งปัน ก็ขอความอนุเคราะห์แบ่งปันด้วยเถอะครับ ฉบับภาษาจีนก็ได้… ขอบพระคุณล่วงหน้า
มีอย่างน้อย 3 ประเด็นครับที่ผมลอกข้อมูลชุดนี้มาเกริ่นนำยาวยืด… อันแรกคือเส้นทางโลจิสติกส์ทางบก ผ่านแผนท่าเรือบกที่โคราชและขอนแก่น และด่านชายแดนที่มุกดาหารและอุบลราชธานีของไทย… ซึ่งอยากให้หลายๆ ท่านมองในมิติขนส่งและอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคลังสินค้ารองที่ SMEs น่าจะยังมีโอกาสอยู่ไม่น้อยในเขตทางโลจิสติกส์ที่กำลังจะเติบโตนี้
ประเด็นที่สองคือ… ฝ่ายจีนชัดเจนเรื่องพัฒนาทรัพยากรบุคคลจีน–อาเซียน ซึ่งผมยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายการศึกษาบ้านเรา ในการเทียบวุฒิการศึกษา… โดยเฉพาะการเทียบวุฒิการศึกษาระดับปฐมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งสำคัญกับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือทั้งไทยไปจีนและจีนมาไทยอย่างสำคัญ… แม้ว่ากรอบใหญ่จะพูดถึงวุฒิการศึกษาระดับแรงงาน แต่ผมคิดว่าเด็กๆ ที่ต้องย้ายที่เรียนตามครอบครัวเป็นประเด็นใหญ่และสำคัญมากเหมือนกัน
และประเด็นสุดท้ายคือ… กรอบความร่วมมือด้านการแพทย์จีนกับอาเซียน ที่ผมยังเห็นแนวคิดที่อยากโยนต่างด้าวเข้าโรงพยาบาลเอกชนไปมากกว่า ดีกว่าจะยอมให้มาเบียดแย่งพื้นที่หรือคิวในโรงพยาบาลรัฐ หรือมาแชร์ระบบประกันสุขภาพในบ้านเรา… ซึ่งถ้า “แผนการพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ เมดิคอลฮับ” คือการโอนโอกาสทั้งหมดให้โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น… ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกว่านี้อีก
ขอบคุณที่ติดตามครับ!
References…
- https://thaibizchina.com/เขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้-8/
- https://www.transtimenews.co/9503/
- https://thaibizchina.com/country/guangxi/
- Featured Image: COSCO Shipping Ports in Guangxi Beibu Gulf Terminal