ในเที่ยวบิน Space Shuttle ช่วงปลายฤดูร้อน ปี 1992 ด้วยยาน Endeavour รหัส STS-47 ได้บรรทุกสัมภาระเพื่อการวิจัยในสภาพเกือบไร้แรงโนมถ่วง หรือ Microgravity Research พร้อมลูกเรือ 7 คนกับภาระกิจทางวิทยาศาสตร์ที่มีโปรแกรมทดลองให้เสร็จภายใน 7 วัน ก่อนที่ยาน Endeavour จะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อกลับมาลงจอด Kennedy Space Center
เที่ยวบินแบบ Space Shuttle จะเป็นเที่ยวบินที่ทำการบิน และ ทำภารกิจในยานขนส่งที่ถูกคัดแปลงห้องโดยสารส่วนใหญ่เป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ออกแบบการทดลองไว้แล้ว เพียงแต่ต้องนำขึ้นไปทดลอง และ เก็บข้อมูลในสภาพไร้น้ำหนัก… นักบินอวกาศจะอยู่ในยานตลอดโปรแกรม ซึ่งจะต่างจากการขึ้นยานไปทำภาระกิจที่สถานีอวกาศ ที่ต้องขนสัมภาระไปทดลองวิทยาศาสตร์ในสถานีอวกาศ ซึ่งต้องออกจากยานขนส่งไปขึ้นสถานี
ยาน Endeavour
ลูกเรือ STS-47… นั่งซ้าย Jerome Apt… นั่งขวา Curtis Brown… ยืนซ้าย Jan Davis… ยืนซ้ายที่สอง Mark Lee… ยืนกลาง Robert Gibson… ยืนขวาที่สอง Mae C. Jemison และ ยืนขวาสุด Mamoru Mohri
เที่ยวบิน STS-47 เป็นเที่ยวบินแรกของ NASA ที่มีลูกเรือเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงแอฟริกัน–อเมริกัน หรือ หรือ สาวอเมริกันผิวสีชื่อ Dr. Mae C. Jemison
Dr. Mae C. Jemison จึงถูกบันทึกให้เป็นสตรีชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ได้เดินทางไปในอวกาศซึ่งภาระกิจหลักของเธอในเที่ยวบินนั้นเป็นการวิจัยเซลล์กระดูก ซึ่งเป็นการวิจัยทางการแพทย์ ซึ่ง Dr. Mae C. Jemison สำเร็จปริญญาด้านการแพทย์ จาก Cornell University และ สำเร็จปริญญาด้านวิศวกรรม จาก Stanford University
ก่อนจะมาเป็นนักบินอวกาศ… Dr. Mae C. Jemison เป็นแพทย์อาสาจากโครงการ Peace Corps ในประเทศ ไลบีเรีย หรือ Liberia และ เซียร์ราลีโอน หรือ Sierra Leone ก่อนจะสมัครเป็นนักบินอวกาศ และ ได้ขึ้นบินในปี 1992 ก่อนจะลาออกจาก NASA เพื่อไปสอนหนังสือที่ Cornell University และผันตัวเองมาทำธุรกิจในนาม Jemison Group เพื่อเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีที่มุ่งเป้าบูรณาการประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ เข้ากับ การออกแบบโครงการด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีดาวเทียมสำหรับการให้บริการด้านสุขภาพ และ การผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายนอกแบบ Stirling Engine ด้วยเทคโนโลยี Solar Dish Stirling Engine… และ ยังก่อตั้งสตาร์อัพด้านเทคนิคการแพทย์ในนาม BioSentient Corporation ซึ่งคิดไกลกว่าการรักษาพยายาบาลไปถึงการเสริมสมรรถนะมนุษย์แล้ว
นอกจากนั้น… Dr. Mae C. Jemison ยังก่อตั้งองค์กรไม่แสวงกำไรภายใต้การสนันสนุนของ DARPA ในนาม 100 Year Starship หรือ 100YSS เพื่อทำภารกิจด้านการศึกษามุ่งเป้าพัฒนาความสามารถในการเดินทางของมนุษย์ออกนอกระบบสุริยะ ไปยังดาวดวงอื่นภายใน 100 ปีข้างหน้า… 100YSS ในความดูแลของ Dr. Mae C. Jemison จึงได้ก่อร่างสร้างชุมชนระดับโลก ที่ส่งเสริมความมุ่งมั่นด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ สังคมและเทคนิค เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ 100YSS ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่องค์กรและธุรกิจด้านอวกาศส่วนใหญ่ ยินดีลงทะเบียนเข้าร่วมงานประชุมสัมมนาประจำปีที่จัดขึ้น
นอกจากนั้น Dr. Mae C. Jemison ยังได้รับการยอมรับในฐานะดาราทีวี จากซีรีย์ Star Trek: The Next Generation ซีซั่นปี 1993 ก็เชิญเธอเป็นดาราสมทบ และ กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อความท้าทายด้านอวกาศเสริมประวัติและผลงานของเธอเข้าไปอีก
บทบาทที่โดดเด่นของ Dr. Mae C. Jemison ในวัยปลายและหลังเกษียณของเธอจึงกลายเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง… โดยส่วนตัวจึงสะสมวรรคทองของ Mae Jemison ไว้มากมาย… โดยเฉพาะแง่มุมของการเป็นคนข้ามข้อจำกัดหลายอย่างในเส้นทางชีวิต และ หน้าที่การงาน… โดยเฉพาะ “ความสำเร็จ” ยิ่งใหญ่และสมควรแก่ความภาคภูมิใจแล้ว ที่คนส่วนใหญ่มักจะ “อิ่มตัว” และ จำกัดตัวเองตรึงไว้กับความสำเร็จเดียว… ซึ่งแม้แต่นักบินอวกาศหลายคนของ NASA กับความสำเร็จถึงขั้นได้บินขึ้นไปทดลองวิทยาศาสตร์ที่ตนคิดค้นและออกแบบไว้ก็ปลาบปลื้มลืมไม่ลงกันแล้วเป็นส่วนใหญ่
ในขณะที่ Dr. Mae C. Jemison ผู้ได้โอกาสบินเพียงภารกิจเดียว กับชั่วโมงบินในอวกาศแบบ Space Shuttle เพียง 7 วัน 22 ชั่วโมง 30 นาที กับ 23 วินาทีเท่านั้น… แต่ Dr. Mae C. Jemison กลับหาทางผลักดันให้มนุษย์โลกคนอื่น ได้เดินทางได้ไกลออกนอกระบบสุริยะ ซึ่งมนุษย์ต้องข้ามข้อจำกัดดั้งเดิมมากมาย ซึ่งคำกล่าวที่ Dr. Mae C. Jemison ใช้สร้างแรงบันดาลใจมามากอย่าง…
Never Limit Yourself Because Of Others’ Limited Imagination, Never Limit Others Because Of Your Own Limited Imagination. หรือ อย่าได้จำกัดตนเองเพราะจินตนาการคับแคบของคนอื่น, อย่าจำกัดคนอื่นเพราะตัวเองมีจินตนาการคับแคบ
References…