ปรากฏการณ์ Digital Revolution ที่เริ่มส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อเราท่าน ซึ่งกูรูที่เข้าใจท่องแท้หลายสำนัก เห็นพ้องที่จะเรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” และต่างก็เชื่อว่า นี่เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ที่จะสร้างตำนานไว้ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ เช่นเดียวกับการปฏิวัตอุตสาหกรรมช่วงปี 1760 หรือเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน ที่แรงงานมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรไอน้ำในอังกฤษ
และการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งถัดมาเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 1870… เป็นการเปลี่ยนแปลงจากพลังงานถ่านหินและไอน้ำ มาสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซและน้ำมัน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มสูงขึ้นและต้นทุนการผลิตลดลง
การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3 เกิดขึ้นเพราะการมาถึงของพัฒนาการทางเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยาวต่อเนื่องจนถึงปี 1970
และเรากำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัตอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเข้มข้น และพาเราออกจากความคุ้นชินเดิมๆ สู่ “ประสบการณ์ใหม่” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลอยู่เบื้องหลัง
ผมจงใจเน้นคำว่าประสบการณ์ใหม่เพื่อย้ำว่า… จะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เข้ามาเติมประสบการณ์ที่ท้าทายเรา วันแล้ววันเล่า… จนเมื่อเราเงยหน้าขึ้นมาจากจอแบนๆ ในมือ
อารยธรรมดิจิตอลก็พาเราออกจากฝั่งอดีต… เข้าสู่น่านน้ำดิจิตอลไปแล้วครับ!
งานเขียนของผมหลายต่อหลายตอนพูดถึง Digital Disruption มากมายเพราะเหตุนี้…
ช่วงนี้ผมหมกมุ่นค้นคว้าหลายเรื่องจนผมต้องใช้ Google Calendar บริหารเวลาในการจัดการตารางชีวิตในแต่ละวัน… หนึ่งในเรื่องที่ผมกำลังศึกษาอย่างจริงจังคือเรื่อง “สินเชื่อที่อยู่อาศัยในอนาคต”
แน่นอนว่าโมเดลสินเชื่อในอนาคตสำหรับสาวก Startup ระดับฮาร์ดคอร์ ย่อมโฟกัสเรื่อง FinTech หรือ Financial Technology
แต่วันนี้ผมจะเอา FinTech สายกู้ยืมมาแลกเปลี่ยนกับทุกท่านดูน๊ะครับ… ซึ่งในปัจจุบัน FinTech สายสินเชื่อได้เกิดขึ้นมากมาย แต่วันนี้ขอเอ่ยถึงเฉพาะกรณีของสินเชื่อแบบ Mortgage Crowdfunding พอให้เห็นภาพก่อน
Mortgage Crowdfunding เป็นสินเชื่อบ้านที่ “ผู้ให้กู้” หลายๆ ราย ยินดีปล่อยกู้ผ่าน Platform ที่เป็นคนกลาง โดย Platform จะถือกรรมสิทธิ์บ้านเอาไว้ และให้สิทธิการใช้ประโยชน์ในตัวบ้านแก่ “ผู้กู้” ที่ยื่นเงื่อนไขผลตอบแทนบน Platform จนกลุ่มผู้ให้กู้หรือนักลงทุน ยินดีลงขันซื้อบ้านให้ผู้กู้เข้าทำประโยชน์… หากเงื่อนไขคือการเช่าซื้อ ระหว่างสัญญาที่ผู้กู้ผ่อนส่งเงินงวดตามสัญญา Platform จะทำหน้าที่ชำระเงินต้นและผลตอบแทนการลงทุนเช่น ดอกเบี้ย คืนแก่ผู้ให้กู้… เมื่อผู้กู้ผ่อนบ้านครบตามสัญญา คนกลางอย่าง Platform ก็จะโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้ผู้กู้ตามสัญญาเช่นกัน… ซึ่ง Platform จะเป็นคนคอยดูแลผลประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย… และหากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องยกเลิกสัญญาเช่น ผู้กู้หยุดชำระค่างวด หรือเกิดเหตุแทรกซ้อนอื่น เช่นไฟไหม้ หรือน้ำท่วมจนมูลค่าบ้านลดลง… Platform จะเข้าไปดูแลผลประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่ายเช่นกัน… คำถามคือ แล้ว Platform ได้อะไร?
… ได้ค่าสมาชิกและค่าธรรมเนียมผันแปรตามวงเงินครับ!
ประเด็นมีอยู่ว่า… ถ้าหากเบื้องหลังการกู้ยืมสำหรับเคสผ่อนบ้านซักหลัง ดูเหมือนรูปแบบสินเชื่อ จะไม่มีอะไรแตกต่างจากการทำธุรกิจของธนาคารในปัจจุบัน ที่ใครทำงานสินเชื่อบ้าน หรือทำงานธนาคารคงเข้าใจดีว่า ขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อบ้านซักหลัง ก็มีขบวนการแบบเดียวกัน… เพียงแต่ เรื่องราวช่างยุ่งยากวุ่นวายกว่าจะจบแต่ละเคส!
FinTech สายสินเชื่อและกู้ยืมจึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและเชื่อถือได้ โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องแม่นยำ อย่าง Blockchain ที่มี Smart Contract ให้สามารถทำสัญญาดิจิตอลโดยไม่ต้องลงชื่อพยาน และยังเก็บสัญญาเป็น Hyperledger ไว้บน Blockchain ที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้อีกด้วย…
นี่เป็นเพียงภาพคร่าวๆ เพียงหนึ่งภาพจากหนึ่งกรณีตัวอย่างเท่านั้นเองครับ… สำหรับเมืองไทยบ้านเรา… ข่าวร้ายคือยังไม่มีกฏหมายออกมารองรับการทำธุรกรรมโดยตรง แต่ก็เห็นมีหลายฝ่ายขยับเข้าหา Platform ทำนองนี้กันคึกคักทีเดียว…. แต่ข่าวดีก็มีครับ เพราะหลายฝ่ายกำลังผลักดันทั้งกฏหมายและพัฒนาระบบนิเวศน์ ให้ตามทันเทคโนโลยีทางการเงินแบบนี้…
ท่านที่สนใจผมแนะนำให้ติดตามเวบไซด์ thaifintech.org โดยสมาคมฟินเทคประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 120 รายซึ่งส่วนใหญ่เป็น Startup หน้าใหม่แต่ไฟแรงเข้ามาท้าทายธุรกิจการเงินการธนาคารแบบเดิมๆ จนหลายท่านน่าจะรู้สึกได้ว่า… สาขาธนาคารหลายแห่งหายไปจากสายตาท่านเรื่อยๆ แล้วใช่มั๊ยครับ…
ก็… ธนาคารกำลังถูก Disrupt หนักมาก!
อ้างอิง