ช่วงนี้เพื่อนๆ สายรับเหมาเชคข่าวค้นข้อมูลกันถี่ยิบ… ข้อมูลจากระบบหลังบ้านของ Properea พบการ Search ข้อมูลในหลายมิติ ในขณะที่มิตรสหายในวงการก่อสร้างหลายท่าน ก็หารือส่วนตัวเรื่องการเลือกเทคโนโลยีก่อสร้างและเครื่องจักร ในขณะที่บางท่านหารือเข้ามาเรื่องกลยุทธ์การปรับตัว เพื่อตามหาความคิดเห็นจากหลายๆ ทางในห้วงเวลาที่วิกฤตไวรัสโคโรน่าคราวนี้… ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะถึงจุดต่ำสุดที่ไหนและเมื่อไหร่… และจะฝื้นตัวแบบ U Shape หรือ V Shape… หรือดำดิ่งไปอยู่ก้นเหวแบบ L Shape ที่หลายฝ่ายภาวนาว่าขออย่าได้เจอ
บางส่วนของความเห็นจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลและกลยุทธ์กับหลายๆ ท่านในแวดวงการก่อสร้าง และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา… ต้องเรียนว่าหลายความเห็นที่ผมได้ยินจากหลายๆ ท่าน เปิดหูเปิดตาผมมากทีเดียว… กรณีการรักษาสภาพคล่อง โดยการดึงวงเงินเครดิตที่มี มาแปลงเป็นเงินสดถือไว้ก่อน แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่ความไม่แน่นอนหลายอย่างจากเหตุที่คาดไม่ถึง ที่นโยบายการเงินการคลังอาจจะปรับเปลี่ยนในขณะที่ธุรกิจต้องการสภาพคล่อง แต่วงเงินเครดิตอาจจะไม่เหลือเพราะธนาคารปรับวงเงินและเงื่อนไขไปแล้ว… ก็ถือเป็นกลยุทธ์การฝ่าวิกฤต ที่ผู้รับเหมาและธุรกิจอื่นๆ ต้องประเมินความต้องการสภาพคล่องใน Scenario ต่างๆ อย่างน้อย 3-6 เดือนนับจากนี้ให้ดี
หลายท่านที่ผมได้พูดคุยด้วยยืนยันว่า… สภาพคล่องหรือกระแสเงินสดเท่านั้นที่จะพาธุรกิจผ่านภาวะถดถอยถึงช่วงฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด ให้ฟื้นตัวแบบ V Shape หรือ U Shape ได้ง่ายกว่าเมื่อเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว… กระแสเงินสดในวันที่กำลังจะฟื้นตัวในมือเท่านั้น จึงจะคว้าโอกาสได้อย่างแท้จริง… คำแนะนำคือ ถ้าท่านสามารถสะสมเงินสดไว้ได้ เตรียมไว้ให้พร้อมไม่ว่าจะได้มาจากทางไหน และให้ได้มากพอที่จะทำกำไรช่วงขาขึ้นที่ยังไงก็เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้… ผมเลือกเชื่อแนวคิดที่ประเมินว่าสภาพคล่องจะเพิ่มขึ้นมากมายหลังวิกฤต…
การพูดคุยกับหลายๆ ท่านในแวดวงการก่อสร้างและพัฒนาอสังหริมทรัพย์ ทำให้ผมมีการบ้านต้องกลับมาค้นข้อมูลแลกคืนกับมิตรสหายเช่นกัน… และผมก็โชคดีที่ SCB EIC หรือศูนย์ความเป็นเลิศด้านเศรษฐกิจธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เผยแพร่รายงานทางเศรษฐกิจประเด็นภาวะและแนวโน้มตลาดรับเหมางานระบบ ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับเหมา M&E หรือ Mechanical & Electrical พอดี
ผู้รับเหมางานระบบหรืองาน M&E หรือ Mechanical & Electrical หลักๆ ก็จะมีงานระบบไฟฟ้า งานระบบประปาและสุขาภิบาล งานระบบปรับอากาศ รวมทั้งงานติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงานด้วย… ซึ่งมูลค่างาน M&E จะอยู่ที่ประมาณ 12-15% ของมูลค่าก่อสร้างรวมโดยประมาณ
SCBEIC ให้ตัวเลขมูลค่าตลาดของปี 2019 จะเติบโตราว 8% จากปีก่อน หรือ YoY หรือ Year on Year อยู่ที่ 1.85 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ 4% CAGR หรือเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยตลอดช่วงปี 2020-2022 ที่ 4% ทบต้นตลอดทุกช่วงปีเมื่อเทียบกับปี 2019 โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของโครงการก่อสร้างภาคเอกชนและโครงการก่อสร้างภาครัฐ
ประเด็นก็คือ รายงานฉบับนี้น่าจะทำข้อมูลช่วงปลายปี 2019 ที่ยังคาดการณ์ตัวเลขภาวะงานก่อสร้างภาคเอกชนยังอยู่ในภาวะปกติ… ซึ่งงานระบบ M&E ใน “โครงการก่อสร้างภาคเอกชน” มีสัดส่วนประมาณ 75-80% ของมูลค่าตลาดรวมหรือประเมินว่ามีมูลค่าราว 1.4 แสนล้านบาทในปี 2019 และคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวราว 5% CAGR… โดยมีงานระบบ M&E ใน “โครงการก่อสร้างภาครัฐ” สัดส่วน 20-25% ของมูลค่าตลาดรวมหรือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2019 แต่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่างานของภาคเอกชน โดยมีอัตราการเติบโตราว 6% CAGR โครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น สนามบิน ท่าเรือ และ สถานีรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ที่จะมีการลงทุนอีกกว่าปีละ 2-4 แสนล้านบาทตลอดช่วงปี 2020-2022

แต่ในสถานการณ์วิกฤต COVID-19 ที่กำลังเผชิญอยู่นี้… ผู้รับเหมาที่ยังอยู่ในสัญญาก่อสร้างอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งแผนรับรู้รายได้ ตลอดสัญญาก่อสร้าง สำหรับโครงการที่ไม่ขาดสภาพคล่อง… แต่หลายโครงการที่มีการชะลอการก่อสร้างออกไปก่อน หรือแม้แต่หยุดก่อสร้างในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่หลายฝ่ายรับรู้ตรงกันว่า อนาคตนับจากนี้คือช่วงยากลำบากของธุรกิจจัดสรรและก่อสร้างที่อยู่อาศัย… ซึ่งผู้รับเหมางานระบบ มักจะได้รับผลกระทบก่อนผู้รับเหมาหลักเสมอ
ผมแนบรายงานการวิจัยฉบับเต็มไว้ใต้อ้างอิงครับ… มิตรสหายสายรับเหมาและ M&E ลองแคะตัวเลขจากงานวิจัยไปเทียบในบริบทของท่านดูด้วย Scenario ต่างๆ ก่อนครับ… ปรับตัวและเตรียมตัวนั้นเป็นของแน่… ส่วนแค่ไหนและอย่างไร เพื่อฟื้นคืนพร้อมแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคให้ได้… ทุกท่านคงมีการบ้านไม่น้อยเลย
ขออวยพรให้ทุกท่านผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปพร้อมๆ กับโอกาสอันงดงามระดับตำนาน!
อ้างอิง