ปรากฏการณ์ราคาบิทคอยน์และคริปโตทุกรูปแบบที่ขึ้นกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนทั่วโลก กอดคอกันดิ่งเหวจากข้อเสนอขึ้นภาษีคริปโตของประธานาธินาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา… ซึ่งความอ่อนไหวของราคาคริปโตในตลาดที่ “ผันผวนเสรี” อยู่เดิม จึงตอบรับการ “อยากขึ้นภาษี” ด้วยการเทขายเอาทุนคืนกันก่อน… เพราะนโยบายและแนวคิดแบบนี้ “นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่า” จะกระทบกลุ่มทุนใหญ่ที่เข้ามาถือบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์เหมือนกรณีของ Tesla และกลุ่มธุรกิจทรงอิทธิพลมากมายที่เริ่มถือครองคริปโตกันจริงจังมากขึ้น จนพวกเขาอาจจะต้องวางแผนภาษีธุรกิจใหม่
นั่นหมายถึงการขายคริปโตและบิทคอยน์กลับคืนตลาด เพื่อย้ายเงินทุนไปเก็บและถือครองสินทรัพย์อื่น… ภาวะตลาดตื่นตูม หรือ Panic Sell จึงเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 23 เมษายน ของประเทศไทยจนราคาบิทคอยน์ได้ไหลลงมาจาก 52,000 USD/BTC ลงมาชนแนวรับแถว 47,000 USD/BTC ทั้งๆ ที่ราคาของบิทคอยน์ตลอดสัปดาห์ผ่านมา ก็มีการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดใหม่แถวๆ 64,500 USD/BTC ลงมาเคลื่อนไหวรออยู่แถวๆ 53,000 USD/BTC อยู่เดิมในวันพฤหัสสบดีที่ 22 ก่อนจะมีข่าว
กรณีประธานาธิบดี Joe Biden เสนอขึ้นภาษี Marginal Income Tax Rate จาก 37% เป็น 39.6% และภาษีกำไรจากการลงทุนหรือ Capital Gains Tax สำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จาก 20% เป็น 39.6%… ถือว่าเป็นเรื่องที่คาดถึงอยู่เดิม เพราะเป็นนโยบายหลักข้อหนึ่งที่ Joe Biden ใช้หาเสียงจากประเด็นเก็บภาษีคนรวยอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ประเด็นเป็นแบบนี้ครับ… ตลาดทุนทุกตลาดมีความอ่อนไหวและผันผวนของราคาเสมอ และคนที่เข้าตลาดมาเป็นนักลงทุนย่อมต้องเข้าใจอยู่ก่อนว่า ได้ตัดสินใจลงทุนทั้งในตลาดหุ้น หรือ ตลาดคริปโต ไปจนถึงตลาดซื้อขายอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ที่มีบนโลกใบนี้… ล้วนต้องการส่วนต่างจากราคาที่เคลื่อนไหวผันผวนนั่นเอง…
การอยู่ในตลาดทุนทุกแบบ โดยเฉพาะตลาดคริปโตจึงต้องเชื่อมั่นการตัดสินใจของตนเอง และเชื่อใจกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองให้มาก… ซึ่งทั้งหมด เกี่ยวพันกับจิตวิทยาการลงทุนล้วนๆ
วันนี้ผมเลยถือโอกาสเอาลำดับของ “อารมณ์นักลงทุน” ที่การอ่อนไหวเชื่อมโยงกับราคาสินทรัพย์ ที่กระทบและกดดันอารมณ์นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต่างกัน มาอธิบายสั้นๆ เอาไว้พอเป็นพื้นฐานสำหรับหลายๆ ท่านที่อยากอยู่ในตลาดทุนเป็นนักลงทุน แต่ก็เครียดจนหลับไม่ลงกับการลงทุนมามาก… ผมได้ชาร์ตอารมณ์นักลงทุนมาจากนักวิเคราะห์คริปโตที่ผม Follow ใน TradingView มาฝากครับ…
บนชาร์ตจะอธิบายจิตวิทยาการลงทุนเอาไว้ว่า… ณ ช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ลงทุนวิ่งขึ้นสูงที่สุด จะหมายถึงระดับความเสี่ยงได้ขึ้นไปจนชนจุดที่เรียกว่า MAX RISK POINT หรือ จุดเสี่ยงสูงสุด แต่อารมณ์นักลงทุน ณ จุดนั้นกลับอยู่ในภาวะ Euphoria หรือ อิ่มเอิบใจ… และเมื่อราคาสินทรัพย์ลงทุนเริ่มย่อตัวลงจากเหตุผลใดก็ตามแต่ อารมณ์นักลงทุนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะวิตกหวั่นไหว หรือ Anxiety… และอารมณ์ของนักลงทุนก็จะยิ่งแย่ลงตามลำดับ เมื่อราคาสินทรัพย์ลงทุนยังลดต่ำลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดต่ำสุดจนชนจุดที่เรียกว่า MAX FINANCIAL OPPORTUNITY POINT หรือ โซนโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด แต่อารมณ์ของนักลงทุน ณ จุดนั้นมักจะอยู่ในภาวะ Depression หรือ ซึมเศร้าไปแล้ว… แต่ถ้ารอดหรือผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ อารมณ์นักลงทุนก็จะเริ่มกระปรี้กระเปร่าและโลกสวย หรือ Optimism อีกรอบ… ทั้งๆ ที่ราคาสินทรัพย์กำลังพุ่งขึ้นไปชนจุดเสี่ยงสูงสุดอีกครั้ง
ประเด็นก็คือ… อารมณ์นักลงทุนก็จะไหลขึ้นลงสวนทางกับกราฟราคาสินทรัพย์ลงทุนแบบนี้กันทุกคน เพียงแต่กดดันและกระทบชีวิตส่วนตัวแค่ไหนอย่างไรนั้น ก็สุดแต่สภาวะอารมณ์พื้นฐานและบุคลิกภาพของนักลงทุนเอง… สิ่งสำคัญก็คือ ผู้ที่ตัดสินใจจะเป็นนักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า… ทั้งหมดในกิจกรรมการลงทุนนั้น ท่านได้สู้กับใจตัวเองตลอดเวลา… และใจท่านสวนทางกับกราฟราคาสินทรัพย์เสมอ โปรดระมัดระวัง!