ราคาหุ้น EL หรือ The Estée Lauder Companies Inc. ในตลาด Nasdaq ก่อนสุดสัปดาห์วันที่ 5 มีนาคม ปี 2021 มาลอยอยู่เหนือ 290 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น กับตัวเลข Market Capital ขนาด 106,248 ล้านดอลลาร์สหรัฐ… ซึ่งตัวเลขทางการเงินของธุรกิจขนาดนี้ ทุกท่านคงนึกออกไม่ยากว่า ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของกิจการระดับนี้จะร่ำรวยและเป็นเจ้าของสินทรัพย์และมีทรัพย์อะไรขนาดไหน… และนี่คือตัวอย่างความสำเร็จระยะยาวของกิจการที่ริเริ่มโดยผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กวนครีมในครัวหลังบ้านไปวางขายในร้านทำผม โดยเจาะเข้าหาสตรีที่หลงไหลความงามและการดูแลใส่ใจเรือนร่างและบุคลิก ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อสุภาพบุรุษ ที่พวกเธอเหล่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเกียรติยศผู้ชายในยุคนั้น และผมกำลังพูดถึง Estée Lauder… ผู้หญิงแถวหน้าในโลกธุรกิจและความงามผู้ไม่เป็นรองใครในโลก
Josephine Esther Mentzer คือเด็กหญิงที่โตมาที่คนทั้งโลกรู้จักเธอในนาม Estee Lauder หรือ Estée Lauder… ผู้เกิดและเติบโตในควีนส์ในนิวยอร์ก จากบิดาเชื้อสายยิวจากเชโกสโลวาเกีย กับมารดาเชื้อสายยิวจากฮังการี… Estee หรือ Esty จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียน Newtown High School ใกล้บ้านแถว Queens และคุ้นเคยกับการค้ามาตั้งแต่เด็ก จากการช่วยครอบครัวขายของในร้านฮาร์ดแวร์ของบิดา
กระทั่งโตขึ้น… Esty จึงได้ไปช่วยงาน Dr. John Schotz ที่ New Way Laboratories… ซึ่ง John Schotz ก็คือญาติฝ่ายมารดาจากฮังการี และเคยมาอาศัยในบ้านของ Esty และนำความรู้ทางเคมีมาผลิตและผสมครีมกับโลชั่นจากในครัวให้ Esty เห็นมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่ง Dr. John Schotz ตั้ง New Way Laboratories เป็นธุรกิจของตัวเอง… และ Esty ไม่พลาดที่จะเอาครีม Super Rich All-Purpose Cream สูตรคุณลุงไปขายเพื่อนและคนรู้จัก รวมทั้งนำ Six-In-One Cold Cream และ Dr. Schotz’s Viennese Cream ไปฝากขายในร้านขายเครื่องสำอางค์ คลับเฮาส์ริมชายหาดและรีสอร์ท
ปี 1930… Josephine Esther Mentzer ก็พบรักและแต่งงานกับ Joseph Lauter นักธุรกิจสิ่งทอ และย้ายมาตั้งรกรากในเขตแมนฮัตตัน ก่อนจะเปลี่ยนนามสกุลจาก Lauter เป็น Lauder ในเวลาต่อมา… แต่จิตวิญญาณนักธุรกิจและผู้หญิงแถวหน้าที่ซุกซ่อนในตัว Esty มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอทำหน้าที่แม่บ้านแม่เรือนให้ Joseph Lauder และหน้าที่แม่ของ Max Mentzer ได้ไม่ดีนัก… เธอยังขายครีมตามร้านเสริมสวยและคลับเฮาส์ แถมไปรับงานแสดงตามโอกาสอำนวยอีกต่างหาก… ทั้งคู่จึงหย่าในปี 1939 ก่อนจะกลับมาแต่งงานกันอีกครั้งในปี 1942 และมีบุตรสาวเพิ่ทอีกหนึ่งคนคือ Rose Schotz-Rosenthal Mentzer
วันหนึ่ง… ขณะที่เธอไปทำผมที่ House of Ash Blondes เจ้าของร้านชื่อ Florence Morris ก็ทัก Esty เรื่องผิวของเธอ… นั่นเป็นทั้งโอกาสและจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางธุรกิจของ Esty ไปตลอดกาลเมื่อเธอได้โอกาสสาธิตครีมบำรุงผิวที่ House of Ash Blondes และ Florence Morris ถูกใจจนขอให้ Esty นำสินค้ามาวางที่ House of Ash Blondes และร้านใหม่ของ Morris
ปี 1946… Estee Lauder และสามี Joseph Lauder จึงก่อตั้ง The Estée Lauder Companies Inc. ขึ้น… ธุรกิจเครื่องสำอางค์เล็กๆ ของทั้งคู่เริ่มต้นด้วยสินค้าอย่าง Cleansing Oil… Skin Lotion… Super Rich All Purpose Creme และ Creme Pack… และสองปีต่อมา Estée Lauder ก็ได้วางสินค้าใน Saks Fifth Avenue ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าหรูหราใจกลางย่าย Manhattan
กระทั่งปี 1953… Estée Lauder จึงได้แนะนำเครื่องหอมตระกูล Youth-Dew กับผลิตภัณฑ์แบบออยล์อาบน้ำผสมหัวน้ำหอมเกรดพรีเมี่ยมจากฝรั่งเศษ… ปีนั้น Estée Lauder แจ้งยอดขายเพื่อเสียภาษีไว้ที่ 50,000 ขวด ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับสินค้าใหม่… โดยมีสถิติยอดขาย Youth-Dew Bath Oil ปี 1984 ที่ทำตัวเลขรายได้จากสินค้าชิ้นเดียวสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความนิยมในแบรนด์เครื่องสำอางค์พรีเมี่ยมชื่อ Estée Lauder ข้ามฝั่งมาเปิดสาขาถึงยุโรปในยุค 1960 ก่อนจะเพิ่มสาขาใน Hong Kong และสิงคโปร์จนกลายเป็นแบรนด์เครื่องสำอางค์ระดับโลกอย่างสมบูรณ์ด้วยเวลาเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น
ปี 1967… Estee Lauder ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 นักธุรกิจหญิงทรงอิทธิพลแห่งปี… และได้รับรางวัล Spirit of Achievement Award จาก Albert Einstein College of Medicine โดย Yeshiva University ในปี 1968 อีกด้วย
ในขณะที่ชั้นเชิงทางธุรกิจ… Estee Lauder ก็ได้เปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางค์ Clinique ในปี 1968 พร้อมไลน์สินค้าเครื่องสำอางค์สำหรับสุภาพบุรุษ จนเติบโตกลายเป็นเซกเมนต์สินค้าที่รายได้เติบโตจนแยกเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับสุภาพบุรุษออกมาดูแลต่างหากในนาม “Skin Supplies for Men” แถมด้วยการเปิดเคาเตอร์ Clinique ขยายไปทั่วโลก… ไม่เว้นแม้แต่กรุงมอสโคในขณะที่ยังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่
เมื่อลุเข้าถึงทศวรรษ 1990… Estée Lauder Companies Inc. ธุรกิจครอบครัวซึ่งมีครอบครัว Lauder เป็นศูนย์กลาง ในแบบที่ลูกหลานตระกูล Lauder ภาคภูมิเต็มเปี่ยมก็เข้าสู่ยุคควบรวมและซื้อกิจการมากมายที่เกี่ยวกับความงามและแฟชั่น ตัวอย่างเช่น Tommy Hilfiger ปี 1993… M•A•C Cosmetics ปี 1994… La Mer ในปี 1995… Aveda ในปี 1997… Bobbi Brown Cosmetics ในปี 1998… Jo Malone London ในปี 1999
Estée Lauder Companies Inc. เข้าตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange ในปี 1995 ด้วนราคาหุ้นจอง 6.50 ดอลลาร์สหรัฐ… ก่อนจะปิดตลาดวันแรกที่ราคา 26.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น… และมาลอยอยู่ที่ราคาใกล้ 300 ดอลลาร์สหรัฐในวันที่ผมเขียนต้นฉบับ
Estee Lauder ซึ่งเป็นหญิงสาวในครอบครัวชาวยิวพลัดถิ่น ผู้ไม่สามารถอยู่เย้าเฝ้าเรือนเพราะทักษะและฝันของเธอไม่ได้มีไว้จินตนาการถึง… คำกล่าวเรียบเรื่อยปนยิ้มหวานเปื้อนหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของ Esty ที่บอกว่า… I Never Dreamed About Success, I Worked For It… ฉันไม่เคยฝันถึงความสำเร็จ, ฉันทำงานเพื่อมัน
Josephine Esther-Mentzer Lauder จากไปในวันที่ 24 เมษายน ปี 2004… อายุ 97 ปี!…
สุดท้าย… ผมอยากเชิญชวนให้ท่านได้ดูคลิป ที่ลูกหลานและเหล่าผู้สืบทอดจิตวิญญาณ Estee Luader พูดถึงทั้งหมดที่ผมอยากเล่าแต่ทำได้ไม่ดีพอ… สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ
References…