สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในสัปดาห์นี้ กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าสถานการณ์ COVID-19 ที่กำลังเล่นงานยุโรปและอเมริกาจนวุ่นวายปั่นป่วน… และเมื่อกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่าง OPEC พูดคุยหารือเรื่องลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันที่แนวโน้มชัดเจนว่า สถานการณ์ COVID-19 กระทบการใช้น้ำมันอย่างมหาศาล… ถ้าผลิตเท่าเดิมคงล้นตลาดและราคาก็จะลดต่ำลงอย่างมาก
แต่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่นอกกลุ่ม OPEC อย่างรัสเซียและอเมริกาไม่เอาด้วย… ทำให้ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้นำ OPEC และผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและลดราคาจำหน่ายน้ำมันในเอเชีย จนตลาดหุ้นทั่วโลกถล่มทลายกลายเป็น Black Monday สำหรับชาวหุ้นทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่ผ่านมา
สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะงักงันรวมถึงภาคการขนส่งคมนาคมที่ชะลอตัว ทำให้ราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงกว่า 13% และชาติสมาชิก OPEC รายได้ลดอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมา… ราคาน้ำมันดิบ WTI Crude หรือ West Texas intermediate ปิดตลาดลดลงถึง 10.07% มาอยู่ที่ 41.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์หรือ Brent Crude ส่งมอบเดือนพฤษภาคมร่วงลง 9.44% มาอยู่ที่ 45.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเช่นกัน
ขณะเดียวกัน… ซาอุดิอาระเบีย ได้ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันให้ถึงระดับ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอาจพุ่งไปถึง 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ที่ระดับ 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ยังให้ ซาอุดิอารามโก รัฐวิสาหกิจพลังงานของประเทศปรับลดราคาขายน้ำมันให้กับชาติเอเชียลง
และเหตุการณ์ต่อเนื่องในเช้าวันจันทร์ทมิฬหรือ Black Monday … 9 มีนาคม 2020 ก็อย่างที่ทราบๆ กัน… ราคาน้ำมันดิบ Brent Crude ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 31.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงหนักที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่ปี 1991 เพราะในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ราคาน้ำมันดิบโลกได้ลดลงมามากกว่า 30%
และตลาดหุ้นทั่วโลกก็ร่วงลงระเนระนาดเพราะหุ้นพลังงานทั่วโลกขาดทุนสต๊อกน้ำมันระเนระนาดตามกันไป
เห็นได้ชัดว่า ซาอุดิอาระเบียหงุดหงิดกลับท่าทีของสหรัฐและรัสเซีย ที่ทยอยขายน้ำมันให้ได้มากที่สุดหนีภาวะถดถอยของอุปทานน้ำมันที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า… และเมื่อประเทศผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกอันดับ 1-3 อย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และ ซาอุดิอาระเบีย… ตะลุมบอนไม่เลือกฝ่ายแบบฉิบหายไปด้วยกัน… หุ้นพลังงานทั่วโลกจึงดำดิ่งด้วยกันทั้งโลกไปด้วย
จริงอยู่ว่า… หากมองกำลังผลิตน้ำมันในตลาดโลก กลุ่มโอเปกที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ยังคงเป็นกลุ่มที่ผลิตน้ำมันรวมสูงสุดออกสู่ตลาดโลก… แต่หากดูตัวเลขเป็นรายประเทศ… สหรัฐอเมริกาดูจะมีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ถึง 12.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 15.6% ของกำลังผลิตทั้งโลก ส่วนที่สองคือรัสเซียอยู่ที่ 11.2 ล้านบาร์เรล หรือ 13.7% โดยซาอุดิอารเบียอยู่ในอันดับที่สามคือ 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 12.1% ของกำลังผลิตทั้งหมดของโลก… สาเหตุที่สหรัฐสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกได้เพราะมีเทคโนโลยี Shale Oil หรือการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน ทำให้สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาคานอำนาจกับชาติมหาอำนาจจากโอเปกได้ในเวลาไม่ถึงสิบปีมานี้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่องต้นทุนการผลิตน้ำมันที่แท้จริงของแต่ละแหล่งผลิต แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า… ซาอุดิอาระเบียน่าจะมีต้นทุนน้ำมันต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อรวมค่าขนส่งมาอินเดีย จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และสงครามราคาที่ซาอุดิอาระเบียขยับ ย่อมหมายถึง OPEC ที่มีกำลังการผลิตของชาติสมาชิกที่มากถึง 13 ประเทศกับกำลังการผลิตรวมกว่า 70% ของโลก… คนนอกอย่างเราท่านก็คิดไม่ออกว่ารัสเซียและสหรัฐคิดอะไร
แต่ซาอุดิอาระเบียและสมาชิก OPEC ก็หลังผิงฝา กับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันของโลก มีทิศทางขาลงจากการมาของพลังงานทางเลือกทั้งก๊าซโซฮอล์ ไบโอดีเซลและพลังงานไฟฟ้า… เมื่อมาเจอกับฤทธาของ COVID-19 ที่หนักหนาและคาดว่าจะส่งผลกระทบยาวนานเกินครึ่งปี 2020 แน่นอนแล้วแบบนี้
ด้าน Goldman Sachs ซึ่งเป็นวานิชธนกิจเบอร์ต้นๆ ของโลกคาดว่า… ราคาน้ำมันอาจจะลดลงได้อีกถึง 43% หมายความว่าเราอาจจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบลงมาต่ำกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
เรื่องที่สำคัญกว่าการแย่งชิงและฉวยโอกาสในวิกฤติ COVID-19 ที่ไม่ได้มีเพียงแต่นักฉวยโอกาสค้ากำไรเกินพอดีอย่างน่าละอายกับหน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมือเท่านั้น ที่ติดเชื้อ COVID-19 จนขาดยางอาย… พ่อค้าน้ำมันรายใหญ่ก็ติดเชื้อ COVID-19 ได้น่ารังเกียจกับการฉวยโอกาสชิงไหวชิงพริบกันในห้วงเวลาสำคัญที่ควรจะช่วยกันแก้ปัญหาสุขอนามัยมากกว่า… คนเหล่านี้กลับห่วงรายได้จนสุดท้ายกรรมตามทันจนต้องแข่งกันขาดทุนเพื่อให้คู่แข่งย่อยยับ… ก็ สาธุขอให้ติดเชื้อ COVID-19 แบบนี้ไปนานๆ
โดยทัศนะส่วนตัวผมมองว่า… จีนแผ่นดินใหญ่ที่ล่าสุดเสนอความช่วยเหลืออิตาลีและอิหร่านไปแล้วคงได้มิตรประเทศเพิ่มขึ้นอีก และก็เดาไม่ยากว่าดุลอำนาจโลกจะเอียงไปตะวันออกหรือยังอยู่ตะวันตก… นี่แค่สถานการณ์ COVID-19 เรื่องเดียวเท่านั้น ถ้ารวมเรื่อง 5G ที่ยืนยันแล้วว่า เยอรมนีใช้ Huawei ไปแล้วและอังกฤษคงลงนามเร็วๆ นี้เช่นกัน ดุลอำนาจโลกจากนี้ไปคงเห็นภาพชัดขึ้นอีกมาก… ส่วนชาติที่กังวลกับผลประโยชน์และยินดีช่วงชิงจนทำราคาน้ำมันดิบรูดได้ขนาดนี้ ก็บอกเลยว่า… ลุยกันให้เละเลยครับพี่!!!
อ้างอิง