แนวโน้มและกระแสการลงทุนของโลกหลังวิกฤตโควิด กับ อนาคตของประเทศไทย

Diversification Inveatment 2021

การปรับตัวครั้งใหญ่ของธุรกิจและอุตสาหกรรมในยุคที่ 4 บนกระแส Digital Revolution และ ถูกกดดันด้วยวิกฤตโควิด ที่ระบาดลุกลามกระทบระบบนิเวศน์โลกาภิวัตน์ หรือ Globalization ซึ่งเป็นระบบนิเวศน์ไร้พรมแดนแบบ Offline ที่กำลังปรับเปลี่ยนและโยกย้ายเข้าสู่ระบบนิเวศน์ Online เพื่อยกระดับ หรือ Upgrade เข้าสู่ยุคดิจิทัลในกระแส Digital Revolution… แต่ในพลันที่เกิดวิกฤตโควิดในระหว่างปรับเปลี่ยนโยกย้าย ทั้งหมดก็จำเป็นต้อง “แยกย้าย” กันยกระดับเข้าสู่ระบบนิเวศน์ Online อย่างฉุกละหุกกันเป็นส่วนใหญ่

ผมเน้นคำว่า “แยกย้าย แทน โยกย้าย หรือ ปรับเปลี่ยน” ในกรณีนี้ก็เพราะว่า… สถานการณ์ในวิกฤตโควิดที่ทั่วโลกเจอเหมือนๆ กันในคราวนี้… ดูเหมือนกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่อยู่รอดจะมีความเคลื่อนไหวบนกลยุทธ์ “Diversification หรือ กระจาย หรือ แตกหน่วยธุรกิจ” เพื่อให้การปรับตัวในภาวะวิกฤติเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด… อันหมายถึง รอดไปต่อให้ได้มากที่สุด และ สังเวยวิกฤตให้น้อยที่สุด หรือดีกว่านั้นถึงขั้นขับเคลื่อนสถานะการแข่งขันให้ดีขึ้นด้วย Diversification Strategy ได้ก็ยิ่งดี

ข้อมูลเผยแพร่จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้พูดถึง กระแสการลงทุนของโลกหลังโควิด จากการปรับซัพพลายเชนครั้งใหญ่ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า… จากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ ทำให้ธุรกิจข้ามชาติในอุตสาหกรรมต่างๆ ตระหนักถึงความเปราะบางของซัพพลายเชนโลก ประกอบกับกระแสสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น… ทำให้ธุรกิจข้ามชาติหันมากระจายความเสี่ยงด้วยการโยกย้ายฐานออกจากจีน 

แนวโน้มการค้าการลงทุนโลกหลังวิกฤตโควิดจึงเกิดกระแส Reshoring หรือ กระแสเจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูงและการผลิตสินค้านวัตกรรม มีการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศแม่… และยังมาพร้อมกับกระแส Diversification หรือ กระแสการสร้างฐานการผลิต และ ซัพพลายเชนใหม่ สำหรับการผลิตสินค้ากระแสหลักเพื่อกระจายความเสี่ยงในกรณีฉุกเฉิน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า… ประเทศไทยจะได้รับอานิสงค์จากกระแส Diversification ค่อนข้างชัดเจน เพราะประเทศไทยคือหนึ่งในทางเลือกหลัก สำหรับการสร้างฐานการผลิตใหม่ในอาเซียน… ถึงแม้ธุรกิจข้ามชาติต่างๆ จะมีทางเลือกที่จะตั้งฐานการผลิตในประเทศใดก็ได้ในอาเซียน แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ธุรกิจข้ามชาติใช้ในการเลือกฐานการผลิตใหม่ เช่น…

  1. ขนาดของตลาดในประเทศที่ลงทุน 
  2. การเข้าถึงตลาดในประเทศที่สาม ในกรณีที่ผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งการมีความตกลงทางการค้าในตลาดหลักๆ ของโลกสามารถสร้างความได้เปรียบเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ 
  3. ต้นทุนในการผลิต ซึ่งรวมถึงต้นทุนแรงงาน 

เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยเหล่านี้กับประเทศคู่แข่งในอาเซียน… ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันด้านขนาดของตลาดกับประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังไม่ได้เข้าร่วม CPTPP และยังไม่มีความตกลงทางการค้ากับ EU อีกต่างหาก… แต้มต่อทางสิทธิประโยชน์จากความตกลงทางการค้าจึงไม่เท่ากับเวียดนาม ท้ายที่สุด ประเทศไทยมีค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสูงกว่าประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย จึงไม่สามารถแข่งขันต้นทุนแรงงานได้

ซึ่งปัจจัยทั้งสามที่กล่าวไว้ถือเป็นจุดด้อยของประเทศไทย… แต่ประเทศไทยก็มีจุดแข็งเรื่อง “สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง… โครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน และซัพพลายเชนที่ครบวงจรในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในบางประเภทสินค้า… เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีซัพพลายเชนที่สลับซับซ้อน ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วน ยังคงเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนอยู่ 

ดังนั้น เมื่อเทรนด์ หรือแนวโน้มโลกหลังวิกฤตโควิดทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนจากรูปแบบห่วงโซ่การผลิตที่เคยมีจีนเป็นศูนย์กลาง… มาเป็นห่วงโซ่การผลิตในระดับภูมิภาคกระจายทั่วโลก 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะได้รับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าเพิ่มขึ้นรวมประมาณ 1,100–1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2564–2566 หรือ เพิ่มขึ้นเพียง 0.7–0.8% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าของไทยในช่วงปี 2561–2563… โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อยอดที่ไทยมีซัพพลายเชนครบวงจรอยู่แล้ว

บทส่งท้ายของข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมีว่า… ความท้าทายในการรักษาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกระแส Diversification จะทำให้มีฐานการผลิตในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติถูกกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น ส่งผลให้ไทยอาจได้รับเม็ดเงินลงทุนในการผลิตสินค้ากระแสหลักลดลงในอนาคต… ส่วนกระแส Reshoring หรือ กระแสเจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูงย้ายฐานการผลิตกลับประเทศในกลุ่มสินค้านวัตกรรม จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้โอกาสในการดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงน้อยลงกว่าเดิมอีกมาก

ทางออกที่ยั่งยืนในการพัฒนาประเทศไทยจึงเหลือทางเลือกเดียวคือ การมีเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นของตัวเอง  โดยการพัฒนาความสามารถในการสร้างนวัตกรรม และ ยกระดับศักยภาพของประชากรไทยในอนาคต​​

References…

Share this post

Add Properea's Friend

เพิ่ม Properea.com เป็นเพื่อนทาง Line
ท่านจะได้ Link บทความใหม่ส่งตรงให้อย่างสม่ำเสมอโดยรบกวนแต่น้อย

Related Post

Neo Pattaya… ในฐานะศูนย์กลาง EEC

ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor  หรือ EEC ในพื้นที่ 3 จังหวัดหัวเมืองภาคตะวันออกอย่าง ชลบุรี ระยองและฉะเชิงเทรา… ที่ชั่วโมงนี้ร้อนแรงในมิติเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายทั้งผลักทั้งดัน จนเดินมาถึงวันที่ โครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ อย่างสนามบินอู่ตะเภา หรือแม้แต่รถไฟความเร็วสูงที่มีพิธีลงนามไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว

Jackson Hole Symposium และ สถานการณ์ค่าเงินยูโรดอลลาร์

พลันที่ Jerome Powell ยืนยันการขึ้นดอกเบี้ยอย่าชัดเจน… ราคาหุ้นในดัชนี S&P 500 ก็ไหลลงพร้อมกันกว่า 3.4% ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยืนยันว่า… ร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนดัชนี Nasdaq ก็ดิ่งลงมากกว่า 4% เช่นกัน ในขณะที่ราคาคริปโตหลักๆ อย่าง BTC และ ETH ก็ติดลบทันทีกว่า 10% ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง… แต่ที่น่าติดตามท่ามกลางความผันผวนที่สุดก็คือค่าเงินยูโร หรือ ยูโรดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็อ่อนค่าลดลงต่อเนื่องจนต่ำกว่า 1.1 USD/EURO มาตั้งแต่สงครามรัสเซีย–ยูเครนระเบิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 กระทั่งหลุด 1 USD/EURO ลงไปถึง 0.98XXX USD/EURO ซึ่งถือว่าไม่ปกติ และ คุ้นชินนักที่ดอลลาร์สหรัฐแพงกว่า หรือ แข็งค่ากว่ายูโรดอลลาร์

RED LOTUS UDON THANI

นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี… Update 09–2020

นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีว่า… โครงการตั้งอยู่ที่ตำบลโนนสูง อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 2,170 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ขาย 1,635 ไร่ มูลค่าลงทุนประมาณ​ 1 แสนล้านบาท มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 50% โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภค คาดว่าปี 2564 จะสามารถเปิดให้บริการได้

VR Virtual Reality

VR in Construction… เห็นเหมือนจริงก่อนสร้างและต่อเติม

VR สร้างภาพมาจากพื้นฐาน CAD และ BIM หรือ Building Information Modeling ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ออกแบบสิ่งก่อสร้าง ทั้ง CAD และ BIM ในปัจจุบันสามารถจำลองภาพขึ้นมาจากข้อมูลการออกแบบที่สัมพันธ์กัน ของทุกๆ มิติที่สร้างเป็นภาพขึ้นมาดูก่อนการตัดสินใจ… ซึ่งแต่เดิมภาพจำลองที่ได้ในมุมมองสามมิติ ก็สามารถที่จะเคลื่อนมุมมองและปรับหมุนดูภาพจำลองที่สร้างขึ้นนั้นได้อยู่แล้ว และเมื่อนำภาพจำลองนั้นมาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี VR… ก็จะได้มุมมองเหมือนเราไปยืนมองด้วยตนเองอยู่ในภาพจำลองนั้น