ประเด็นข้อเรียกร้องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ กรณีมาตรา 19 ทวิ ในพระราชบัญญัติอาคารชุด หรือ ประเด็นสัดส่วนการถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของบุคคลต่างด้าว ซึ่งติดเพดาน 49% ซึ่งหลายฝ่ายเคลื่อนไหวเรียกร้องมานาน และ ล่าสุดก็มีการดันข้อเสนอขยายเพดานต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด ผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือ ศบศ. ซึ่งดูแลยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยในระหว่างสถานการณ์โควิดนี้
ซึ่งดูเหมือนข้อเสนอคราวนี้จะมีความหวังมากกว่าหลายๆ ครั้ง ท่ามกลางการมองหาเม็ดเงินพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในขณะที่ที่สถานการณ์โควิดในประเทศไทยที่คนไทยรู้สึกหนักหนาสาหัสนั้น… ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้าน หรือ แม้แต่สถานการณ์จากทุกประเทศทั่วโลกแล้ว… สถานการณ์ทางระบาดในประเทศไทยถือว่าเล็กน้อยแค่ระมัดระวังตัวอย่าให้ติดโควิดไปจนถึงเดือนตุลาคมได้… เครื่องจักรทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยน่าจะ Restart ออกจากวิกฤตไปได้เรื่อยๆ
กรณีขยายเพดานต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไทยล่าสุด… มีข่าวยืนยันชัดเจนว่า มีความคืบหน้าการยกร่างการแก้ไขกฎหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกรมที่ดินเข้าให้ข้อมูลต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือ ศบศ. เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในขั้นตอนยกร่างเป็นพระราชกำหนดต่อไป
คุณนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดินคุยกับนักข่าวไว้ว่า… กรมที่ดินสนับสนุนมาตรการขยายเพดานการถือครองกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเพิ่มขึ้น รวมถึงบ้านแนวราบของ ศบศ. ที่เตรียมเสนอเข้า ครม. พิจารณา… โดยมองว่าสามารถช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาได้ แต่ทั้งนี้… กรมได้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมกลับไป ในบางประเด็น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมจะต้องเป็นโครงการใหม่มีขนาดพื้นที่ภายในโครงการไม่น้อยกว่า 5 ไร่ เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับร่างแก้ไขที่ ศบศ. เสนอขยายอัตราการถือกรรมสิทธิ์ให้ชาวต่างชาติเข้าถือครองได้มากขึ้น 70-80% โดยเพิ่มเงื่อนไขสำหรับต่างชาติที่ถือครองเกิน 49% ไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมนิติบุคคลอาคารชุด
นอกจากนั้น… ร่างแก้ไขกฎหมายใหม่ยังเสนอให้ชาวต่างชาติ “สามารถซื้อบ้านเดี่ยวสำหรับอยู่อาศัยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรรราคาประมาณ 10-15 ล้านบาทขึ้นไป” โดยซื้อได้ไม่เกิน 49% ของโครงการ และ แก้ไขระยะเวลาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ จากเดิมชาวต่างชาติเช่าอสังหาริมทรัพย์ได้นานสูงสุดไม่เกิน 30 ปี โดยเสนอขยายให้ชาวต่างชาติสามารถทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 50 ปี + 40 ปี หรือ นานสูงสุด 90 ปี
คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019… ระบุว่า ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโควิด 19 ทำให้ประเทศไทยถูกมองเป็นบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุวัยเกษียณ เนื่องจากมีความปลอดภัยกว่าในหลายประเทศ มีการสาธารณสุขที่ดี มีอาหารที่สมบูรณ์… ซึ่งคนกลุ่มนี้มีเงินบำนาญ เงินเก็บ เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีประกันสุขภาพที่เป็นรัฐสวัสดิการ โดยรัฐบาลต้องดำเนินการแก้กฎกติกาต่างๆ ให้สะดวกขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการสร้างรายได้การลงทุน เพิ่มการจ้างงานภายในประเทศ
นอกจากนั้น… ประเทศไทยได้นำร่องออกมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยเป้าหมายดึงดูดการใช้จ่ายจากเศรษฐีต่างชาติ ใน 4 กลุ่มเป้าหมายได้แก่…
- กลุ่มประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง หรือ Wealthy Global Citizen ซึ่งรวมถึงนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูง ภายใต้โปรแกรม Flexible Plus Program
- ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ หรือ Wealthy Pensioner
- กลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย หรือ Work-From-Thailand Professional
- กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ หรือ High-Skilled Professional
มีความคืบหน้ายังไงจะรีบนำข้อมูลมา Update ให้ทราบเพิ่มเติมครับ!
References…