มีร้านอาหารหลายร้านที่สนใจการผลิตอาหารแบบ RTE หรือ Ready To Eat หรืออาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งช่องทางการขายและการยอมรับของลูกค้า ที่สะท้อนผ่านอาหารอุ่นไมโครเวฟใน 7-11 ทุกแห่งเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
แต่การผลิตอาหารพร้อมรับประทานจำนวนมาก ต่างจากการทำอาหารใส่กล่องหรือใส่ถุงขาย หรือแม้กระทั่งอาหารจัดเลี้ยงที่คนทำธุรกิจร้านอาหารมีความเชี่ยวชาญ… ซึ่งมีแฟน Properea บางท่านที่ทำร้านอาหารอยู่ และสนใจจะเอาเมนูและแบรนด์ของร้านไปทำ RTE เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งท่านก็ศึกษามาเยอะ และแบ่งปันแลกเปลี่ยนกับผมมามาก… วันนี้ก็เลยได้โอกาสเอามาแบ่งปันเผยแพร่ต่อ เรื่องการตั้งโรงงานผลิตอาหาร
งั้นมาดูข้อมูลทั่วไปกันว่า ถ้าอยากจะเปิดโรงงานผลิตอาหารต้องทำอย่างไรบ้าง?
ประเด็นแรกที่ต้องเข้าใจก่อนก็คือ… สถานที่ผลิตอาหารที่เข้าข่ายโรงงาน ต้องมีคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2562… ซึ่งสาระสำคัญสถานที่ ที่เข้าข่ายโรงงานต้องมีการใช้เครื่องจักรที่มีกำลังตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปโดยจะใช้หรือไม่ใช้เครื่องจักรก็ได้
เมื่อมีแผนใช้เครื่องจักรขนาด 50 แรงม้าขึ้นไปช่วยผลิต… หรือวางแผนจ้างงานในขบวนการผลิตตั้งแต่ 50 ตำแหน่งขึ้นไป… ก็เข้าสู่ขั้นตอนการจัดตั้งโรงงานกันเลย
1. ยื่นขอตรวจประเมินสถานที่ผลิต
ผู้ประกอบการจะต้องยื่นขอตรวจประเมินสถานที่ผลิตและเก็บอาหาร โดยติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา ณ ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service Center สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรณีสถานที่ผลิตตั้งอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นคำขอ ณ สำนักงานสาธารณสุขในจังหวัดนั้นๆ และปัจจุบันสามารถยื่นคำขอผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือ E-submission ได้ด้วย
2. ยื่นขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตอาหาร
เมื่อผ่านการตรวจประเมินสถานที่เรียบร้อย มาถึงขั้นตอนที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตอาหาร จะต้องเตรียมเอกสารสำคัญดังนี้
1. คำขออนุญาตตั้งโรงงานตามแบบ อ1. จำนวน 1 ฉบับ
2. สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขออนุญาต จำนวน 1 ฉบับ
3. สำเนาใบทะเบียนการค้าหรือใบทะเบียนพาณิชย์ จำนวน 1 ฉบับ
4. สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล จำนวน 1 ฉบับ (กรณีนิติบุคคล)
5. สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น จำนวน 1 ฉบับ (เฉพาะนิติบุคคลที่เป็นบริษัท )
6. หนังสือมอบอำนาจ (กรณีผู้ดำเนินกิจการไม่ได้มายื่นเอง)
7. แบบแปลนแผนผังที่ถูกต้องตามมาตราส่วน จำนวน 1 ชุด (กรณีสถานที่ผลิตอยู่ต่างจังหวัดจะใช้ 2 ชุด)
8. แผนที่แสดงที่ตั้งของโรงงานและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในบริการใกล้เคียง
9. แผนผังแสดงสิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณที่ดินของโรงงาน รวมทั้งระบบกําจัดนํ้าเสียและบ่อบาดาล (ถ้ามี)
ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอและเอกสารหลักฐานต่างๆ ได้ที่ ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service Center สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ กรณีสถานที่ผลิตตั้งอยู่ต่างจังหวัด ยื่นได้ที่สำนักงานสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด หรือ ยื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยผู้ประกอบการต้องชำระค่าธรรมเนียม 2,000 บาท
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบความครบถ้วนของคำขอและเอกสารหลักฐานต่างๆ กรณีเอกสารครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะออกใบรับคำขอ และดำเนินการตรวจสอบ เพื่อพิจารณาว่าจะอนุญาตจัดตั้งโรงงานหรือไม่ แต่หากเอกสารไม่ครบถ้วน ผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ภายในเวลาที่กำหนด
3. รับใบอนุญาตการผลิต
เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จะแจ้งผล… หากได้รับอนุญาต จะทำการออกใบสั่งชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งมีตั้งแต่ 3,000 | 5,000 | 7,000 | 8,000 | 10,000 บาท… ขึ้นกับจำนวนแรงม้าของเครื่องจักร หรือคนงานที่เกี่ยวข้องในการผลิต จากนั้น… จะทำการส่งมอบใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการต่อไป โดยใบอนุญาตผลิตอาหาร สามารถ “ใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปีที่ 3 นับตั้งแต่ออกใบอนุญาต” โดยผู้ประกอบการจะต้องแสดงใบอนุญาตผลิตอาหารไว้ในที่เปิดเผยที่สามารถมองเห็นได้ง่าย ณ สถานที่ผลิตอาหารที่ระบุไว้ในใบอนุญาต และต้องติดป้ายแสดงสถานที่ผลิตไว้ภายนอกสถานที่ ซึ่งต้องเป็นที่เปิดเผยและสามารถมองเห็นง่ายเช่นกัน
4. ขออนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อขอรับเลขสารบบอาหาร
แม้ผู้ประกอบการจะได้รับใบอนุญาตผลิตอาหารแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถดําเนินการผลิตเพื่อจําหน่ายได้ทันที เนื่องจากต้องมีการยื่นขออนุญาตเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ก่อน โดยเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ จะหมายถึงเลข 13 หลักในกรอบเครื่องหมาย อย. บนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งจะเป็นรหัสของข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ผลิตและผลิตภัณฑ์ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบย้อนกลับกรณีเกิดปัญหา
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ของตนจัดอยู่ในประเภทอาหารกลุ่มใด ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 ได้มีการแบ่งอาหารเป็น 4 กลุ่มตามระดับความเสี่ยงที่จะมีผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ได้แก่
1.อาหารควบคุมเฉพาะ
2.อาหารที่กําหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน
3.อาหารที่ต้องมีฉลาก
4.อาหารทั่วไป
หากผู้ประกอบการผลิตอาหารที่อยู่ใน 3 กลุ่มแรก จำเป็นต้องมีการยื่นขออนุญาตเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ โดยอาหารควบคุมเฉพาะ ยื่นแบบ อ.17… อาหารที่กําหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน ยื่นแบบ สบ.3 หรือ สบ.5… และอาหารที่ต้องมีฉลาก ยื่นแบบ สบ.3 หรือ สบ.5… แต่หากผู้ประกอบการผลิตอาหารทั่วไป สามารถดําเนินการผลิตได้ทันทีโดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์
4 ขั้นตอนเท่านี้… ถ้าเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการอย่างดี… เรื่องติดขัดล่าช้าแบบที่หลายๆ ท่านกังวลคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่… ส่วนเทคนิควิธีการเช่นการจ้างนักกฏหมายเป็นตัวแทนยื่นเรื่อง หรือใช้ที่ปรึกษาธุรกิจที่เชี่ยงชาญดำเนินการแทนก็ได้ครับ… สุดท้ายคือ สอบถามโดยตรงที่ อย. หรือ สาธารณสุขจังหวัดเลยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา