มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดลงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2565 ซึ่งกระทรวงพลังงานจะถือโอกาสนี้ในการดำเนินมาตรการอุดหนุนราคาครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้นแทน โดยจะเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2565… ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป จะได้เห็นราคาขายปลีกดีเซลหน้าสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ลิตรละประมาณ 35.50 จากปัจจุบันที่ขายปลีกอยู่ที่ราคา 30.00 บาทต่อลิตร… ค่อนข้างแน่!
ปัจจุบัน… กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ 11.21 บาทต่อลิตร จากราคาจริง ณ วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565 ที่ 41.15 บาทต่อลิตร… และเคยอุดหนุนสูงสุดถึง 14 บาทต่อลิตรเพื่อให้ราคาขายปลีกหน้าปั๊มพีทีทีสเตชั่น และ บางจาก อยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตรมาแล้ว
ข่าวจากคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงได้สั่งการให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง… สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยกันจัดทำแผนรองรับมาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบภายหลังวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2565 ในหลากหลายแนวทาง เช่น การขึ้นราคาทีละสเต็ปมาอยู่ที่ 32 บาทต่อลิตรก่อน และ ดูสถานะกองทุนประกอบกัน เพราะต้องยอมรับว่า ขณะนี้กองทุนติดลบแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท โดยกระแสเงินสดเหลือประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท และมีเงินเข้ากองทุนเพียงเดือนละประมาณ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนั้น… มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร ก็จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่จะถึงนี้… หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดีเซลที่คาดว่าจะขึ้นในช่วงแรกที่ 32 บาทต่อลิตรก่อนอาจจะประคองสถานการณ์ราคาได้ไม่นาน… หรือไม่ก็อาจจะมีการขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไป ซึ่งก็ต้องหารือกันอีกครั้ง
ส่วนอีกแนวทางหนึ่งที่คุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพูดถึงกับนักข่าวก็คือ… การใช้ราคาอาเซียนอ้างอิง เช่น ใช้ราคาประเทศเวียดนามมาเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ราคามีความใกล้เคียงกัน โดยปัจจุบันราคาขายปลีกดีเซลของเวียดนามอยู่ที่ 35-36 บาทต่อลิตร… และท่านรัฐมนตรียืนยันว่า ขณะนี้กองทุนกำลังเร่งทำข้อมูลต่างๆ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ใช้น้ำมันในภาพรวมมาเสนอกระทรวงพลังงาน รวมทั้งความพยายามในการเร่งกู้เงินมาเติมกองทุนด้วย… แต่การจะอุดหนุนลิตรละกว่า 10 บาทต่อไปนานๆ ก็ต้องใช้เงินอีกจำนวนมาก และ การทยอยปรับขึ้นราคาเป็นระดับราคาเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านน่าจะเป็นอีกแนวทางที่ดี
เจ็บแต่จบไปเลยก็ดีครับ!