ข่าวจากที่ประชุมคณะกรรรมการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ บอร์ด กกพ. เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2564 ซึ่งมีประเด็นเลื่อนกำหนดการเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก(โครงการนำร่อง) พ.ศ.2564 หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอก 3 ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและกระจายวงกว้าง… ทำให้บอร์ด กกพ. เลื่อนกำหนดการเปิดยื่นรับคำขอเสนอขายไฟฟ้าในโครงการ จาก 21-30 เมษายน พ.ศ. 2564 ที่กำหนดให้ต้องมายื่นเอกสารที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA… ให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 27-30 เมษายน พ.ศ. 2564 แทน… พร้อมปรับรูปแบบเป็นการยื่นรับคำขอเสนอขายไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์
ในการแถลงข่าววันนั้น… คุณคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า… ถึงแม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการยื่นคำขอเสนอขายไฟฟ้ามาเป็นรูปแบบยื่นผ่านระบบออนไลน์ ทาง กกพ. ก็ยังคงยึดหลักการเรียงตามลำดับการสมัครก่อนหลังในกรณีที่การพิจารณาคัดเลือกการประมูลแข่งขัน ที่มีการเสนอราคาเท่ากัน ที่จะนำลำดับก่อนหลังมาใช้ตัดสินผู้ที่ยื่นเสนอโครงการลำดับแรกให้เป็นผู้ชนะการประมูล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสมากที่สุด
ส่วนการพิจารณาโครงการ กกพ. จะเป็นผู้ดำเนินการเปิดซองประมูลราคา และ เป็นผู้ประกาศว่ารายใดผ่านการประมูลเอง… ขณะที่ PEA หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะทำหน้าที่เปิดรับคำเสนอขายไฟฟ้าจากผู้ประกอบการ และ พิจารณาคุณสมบัติผู้เข้าประมูล และพิจารณาด้านเทคนิค จากนั้นจะส่งรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว มาให้ กกพ. ดำเนินการเปิดซองราคาต่อไป
สิ่งที่หลายฝ่ายเป็นห่วง โดยเฉพาะจากฝั่งเอกชนที่จะเข้าประมูลคือ… หลักการคัดเลือกเรียงตามลำดับการสมัครก่อนหลังในกรณีราคาเท่ากันเมื่อต้องยื่นออนไลน์ ที่อาจจะมีปัญหาทางเทคนิค จนลำดับก่อนหลังอาจจะทำลายโอกาสอย่างคาดไม่ถึงได้ เช่น ระบบล่มเพราะแย่งกันยื่น eBidding ในนาทีแรกพร้อมกันเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม… โดยส่วนตัวผมมองเลยการประมูลไปถึงระบบนิเวศน์ในกลไกเศรษฐกิจรอบโรงไฟฟ้าชุมชนแบบต่างๆ มากกว่า เพราะเชื่อว่าในท้ายที่สุดทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปได้ แม้จะเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายรอบมากจนคนตามข่าวคราวอย่างเดียวแบบผมยังเหนื่อยใจ…
ซึ่งผมสนใจประเด็น “เกษตรกร และ ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อป้อนโรงไฟฟ้า และ การได้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าของชุมชน” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความเคลื่อนไหวหลายอย่างตอบรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนอย่างน่าสนใจ…
โดยเฉพาะข่าวการประชุมคณะทำงาน จัดทำแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล… ซึ่งมีกรอบการหารือแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจ ประเภทไม้โตเร็ว เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยจะใช้หลักการตลาดนำการผลิต… นำ Demand หรือ ความต้องการวัตถุดิบสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของกระทรวงพลังงานมาใช้คาดการณ์ปริมาณความต้องการและพื้นที่ปลูกไม้โตเร็ว
เบื้องต้น กลุ่มพื้นที่เป้าหมายที่มีโอกาสในการส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้โตเร็ว ได้แก่ พื้นที่นาดอนนอกเขตชลประทาน จำนวน 18.53 ล้านไร่ และ พื้นที่ตามนโยบายลดพื้นที่ปลูกพื๙บางชนิดของรัฐบาล เช่น การปลูกยางพาราในพื้นที่ไม่เหมาะสม หรือกลุ่ม S3/N จำนวน 6.11 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกษตรกรปลูกพืชชนิดเดิมและให้ผลตอบแทนต่ำ
ทางคณะทำงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแนวทาง หรือ Guildline โดยใช้ผลการศึกษาไม้โตเร็ว จำนวน 6 ชนิด ได้แก่
- กระถินณรงค์
- กระถินเทพา
- กระถินยักษ์ ยู
- คาลิปตัส
- ไผ่
- หญ้าเนเปียร์
ซึ่งในเอกสารแนะนแวนี้ ได้เสนอไม้เศรษฐกิจโตเร็วหลายชนิดสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยเฉพาะ “กระถินยักษ์” ที่มีจุดเด่นสำคัญ คือ สามารถปลูกและเติบโตได้ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ สามารถปลูกและเริ่มตัดใช้ประโยชน์ได้ในปีที่ 3… จากนั้นจะเริ่มแตกหน่อและสามารถตัดใหม่ได้ทุกๆ 2 ปี โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 1 เมกะวัตต์ จะมีความต้องการไม้สับประมาณปีละ 15,000 ตัน จึงต้องใช้พื้นที่ปลูกกระถินยักษ์ ปีละ 1,364 ไร่ ส่งผลให้มีพื้นที่ส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 4,091 ไร่ ต่อโรงไฟฟ้าชีวมวล 1 เมกะวัตต์
ดังนั้น โรงไฟฟ้าชีวมวล 75 เมกะวัตต์ จะมีความต้องการไม้สับปีละ 1,125,000 ตัน ใช้พื้นที่ปลูกไม้โตเร็ว หรือ ปลูกกระถินยักษ์ ปีละ 102,300 ไร่ พื้นที่รวม 3 ปี จะต้องใช้พื้นที่ทั้งสิ้น 306,900 ไร่
สำหรับแนวทางสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่เกษตรกรด้วยโรงไฟฟ้าชีวมวล จะใช้หลักการแบ่งปันต้นทุนและผลตอบแทน หรือ Cost and Profit Sharing และ หลักการระบบเกษตรพันธสัญญา หรือ Contract Farming เพื่อสร้างหลักประกันและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงไฟฟ้าชีวมวล และชุมชน สามารถคุ้มครองผลประโยชน์ของเกษตรกรผ่านวิสาหกิจชุมชน… ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ที่กำหนดให้วิสาหกิจชุมชนที่มีเกษตรกรเป็นสมาชิกร่วมถือหุ้นในโรงไฟฟ้าร้อยละ 10 ตามกรอบที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานกำหนด