Cash Buffer Days… ธุรกิจจะยืนต่อได้อีกกี่วัน?

Financial

วิกฤตที่พวกเราเจอร่วมกันมากับคนทั้งโลก และผลกระทบจากวิกฤตที่เราร่วมกันเผชิญพร้อมกับคนทั้งโลก… เป็นวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่เหมือนจะไม่มีอะไรเมื่อเริ่มต้น แต่ก็กลายเป็นปัญหาคาดไม่ถึงมากมายจนกระทบทุกคน

ผมมีเพื่อนหลายคนที่ถอยออกจากองค์กรที่ทุ่มชีวิตทำงานให้ เพราะหลายเหตุผล แต่ที่แน่ๆ การลดค่าจ้างเงินเดือนลงและการเลิกจ้างขององค์กรธุรกิจในวันที่ถูก Lockdown นั้น… เหตุผลหลักของธุรกิจก็คือเรื่องการต่อลมหายใจให้ธุรกิจ ซึ่งวัดโดยใช้ตัวแปรหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือตัวแปรที่ชื่อ Cash Buffer Days

Cash Buffer Days คือ จำนวนวันที่ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือสามารถชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ เมื่อไม่มีรายรับที่เป็นตัวเงิน… โดยคำนวณจากจำนวนเงินสดที่ธุรกิจมีในบัญชี หารด้วย Cash Out-flow หรือรายจ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายในการดำเนินกิจการ เช่น  ค่าเช่า ค่าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ค่าจ้าง รายได้ส่วนของเจ้าของ ที่โอนออกจากบัญชีธุรกิจเพื่อการออมส่วนตัว การชำระคืนเงินกู้ และการชำระภาษี 

Cash Buffer Days เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่จะบอกว่า… ธุรกิจมีความสามารถมากน้อยเพียงใดในการดำเนินกิจการในยามที่เกิดวิกฤติที่กระทบรายรับ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้หรือการระดมทุน ทำให้กระแสเงินสดเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพคล่องของธุรกิจ ซึ่ง Cash Buffer Days จะช่วยสะท้อนสภาพคล่องและกันชนทางการเงินของธุรกิจขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

เวบไซต์ scbeic.com ได้ยกตัวอย่าง Cash Buffer Days ของธุรกิจ SMEs โดยอ้างอิงรายงานของ JPMorgan Chase & Co. Institute เรื่อง Cash is King: Flows, Balances, and Buffer Days… เผยแพร่ไว้เมื่อเดือนกันยายน ปี 2016… ซึ่งศึกษาข้อมูลธุรกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนตุลาคม ปี 2015 จำนวน 597,000 บริษัท ใน 12 สาขาธุรกิจ พบว่า… ธุรกิจขนาดเล็กที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 500 คนในสหรัฐอเมริกา มีค่ากลาง หรือ median ของ Cash Buffer Days อยู่เพียง 27 วัน… 

หมายความว่า หากธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกามีเหตุให้ไม่มีรายรับ เงินสดในบัญชีของธุรกิจเหล่านั้นจะสามารถทำให้ธุรกิจดำเนินกิจการต่อได้เพียง 27 วัน นอกจากนี้ JPMorgan ยังพบอีกว่า… ครึ่งหนึ่งของธุรกิจขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกามี Cash Buffer Days น้อยกว่า 1 เดือน และ 25% ของธุรกิจขนาดเล็กนั้นมี Cash Buffer Days น้อยกว่า 13 วัน

เมื่อพิจารณาแยกตามสาขาธุรกิจพบว่า… ธุรกิจขนาดเล็กในภาคอสังหาริมทรัพย์มีค่ากลางของ Cash Buffer Days สูงสุดที่ 47 วัน… รองลงมาเป็นกลุ่มธุรกิจ High-technology เป็นกลุ่มสาขาธุรกิจที่มี

ค่ากลางของ Cash Buffer Days น้อยที่สุดที่ 16… กลุ่มธุรกิจที่เป็น Labor-intensive หรือธุรกิจที่พึ่งพาแรงงาน มี Cash Buffer Days อยู่ที่ 23 วัน…  กลุ่มธุรกิจที่เป็น Capital-intensive หรือธุรกิจพึ่งพาเงินลงทุน  มี Cash Buffer Days อยู่ที่ 38 วัน… และกลุ่มสาขาธุรกิจที่มีค่าจ้างต่ำ มี Cash Buffer Days อยู่ที่ 19 วัน… ในขณะที่กลุ่มสาขาธุรกิจที่ค่าจ้างสูงมี Cash Buffer Days อยู่ที่ 31 วัน…

ข้อมูลจาก SCBEIC ซึ่งได้จากการวิเคราะห์จากข้อมูลของกรมธุรกิจการค้าพบว่า… ในปี 2018 มีจำนวนธุรกิจ SMEs อยู่ที่ 7.3 แสนบริษัท หรือ คิดเป็น 98.3% ของจำนวนบริษัททั้งหมด และจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ระบุว่า มูลค่าของธุรกิจ SMEs ในปีเดียวกันคิดเป็น 43.0% ของ GDP ดังนั้น ธุรกิจ SMEs จึงเป็นกลุ่มธุรกิจที่ภาครัฐให้ความสนใจ ทั้งนี้ EIC ยังพบด้วยว่า “มากกว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจขนาดเล็กของประเทศไทยในภาคบริการ มีสัดส่วนของบริษัทที่มี Cash Buffer Days น้อยกว่า 60 วัน โดยเฉพาะในสาขาธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร การศึกษา สารสนเทศ และอสังหาริมทรัพย์”

ความท้าทายสำหรับธุรกิจ SMEs ในประเทศไทยคือการจัดการสภาพคล่องของธุรกิจที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ และ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตในอนาคต ดังนั้น การมี Cash Buffer Days ที่ยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดการสภาพคล่องของธุรกิจ และเป็นกันชนทางการเงินของธุรกิจในยามที่เกิดวิกฤติจนกระทบรายรับ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้จำกัดกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่อาจได้เงินสำรองมาจากการกู้ยืมหรือการระดมทุนจากผู้ถือหุ้น

Cash Buffer Days ที่น้อย… สะท้อนถึงสภาพคล่องและกันชนทางการเงินของธุรกิจที่น้อยลงตาม และเมื่อเจอสถานการณ์ที่คับขัน เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ หรือสถานการณ์โรคระบาดที่ทำให้รายรับของธุรกิจลดลง หรือในบางสาขาธุรกิจก็ต้องหยุดกิจการชั่วคราว 

ขอบคุณข้อมูลจาก SCBEIC ครับ!

อ้างอิง

Share this post

Add Properea's Friend

เพิ่ม Properea.com เป็นเพื่อนทาง Line
ท่านจะได้ Link บทความใหม่ส่งตรงให้อย่างสม่ำเสมอโดยรบกวนแต่น้อย

Related Post

LRT เชียงใหม่… และ Feeder จากชานเมือง

แนวคิดเรื่องขนส่งทางรางในเชียงใหม่ ที่มีรถไฟฟ้าใช้ในเขตเทศบาลมีมานานกว่า 20 ปีแล้วครับ เทศบาลนครเชียงใหม่จริงจังเรื่องรถไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2537… ใช่ครับ เริ่มคิดกันมา 25 ปีแล้ว กระทั่งทุกวันนี้ รถไฟฟ้ารางเบาของเทศบาลนครเชียงเชียงใหม่ ก็เริ่มเห็นอนาคต

GateToken และ Gate.io

Gate.io หรือ ชื่อเดิมเมื่อแรกก่อตั้งในปี 2013 โดย Dr. Han Lin ว่า Bter.com ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Gate.io ราวปี 2017 หลังจากวางแผนระดมทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างแพลตฟอร์มเทรดคริปโตที่สมบูรณ์แบบที่สุด… ซึ่ง Gate.io ในปัจจุบันถือว่าเป็นเวบเทรดคริปโตที่มี “ของครบ” โดยมีทั้ง Coin และ Token ให้นักลงทุนเทรดมากที่สุดอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม และ ยังมี “เครื่องมือพร้อม” ให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ทั้งบนกระดาน Spot Trading… Margin Trading… Leveraged Trading และ Futures Trading รวมทั้งตราสาร Derivative แบบอื่นๆ ที่เป็นเครื่องมือตลาดทุนยอดนิยม… และยังดีเด็ดด้วยบริการ Quantitative Trading ด้วย Bot Strategy และ Copy Trade สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบความรวยแบบอัตโนมัติอีกด้วย

Cosmos Network

Cosmos Network และ ATOM Coin

Cosmos Network เป็นบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดที่จะทำให้บล็อกเชนทุกโครงข่ายสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนการใช้อินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อมโยง Web Server หรือ Internet Server ทุกโครงข่ายเข้าหากันได้หมดโดยไร้ขีดจำกัด… Cosmos Network จึงได้ชื่อว่าเป็น Internet Of Blockchain โดยกำเนิด และ มีคุณสมบัติในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Web 3.0 อย่างโดดเด่น

รายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ประจำเดือนพฤษภาคม 2566

คุณพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค หรือ ดัชนี RSI หรือ Thailand Regional Economic Sentiment Index ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดโดยสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า… ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 สะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจใน 6 เดือนข้างหน้า ที่จะปรับตัวดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ที่ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อจากเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังนี้