งานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งยังมีชื่อคุณวิรไท สันติประภพ เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่… ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง ที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563
ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวว่า… ปีนี้เป็นปีที่มีความท้าทาย เพราะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติด้านสาธารณสุขที่ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไม่มีใครทราบว่าวิกฤตครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด และจะจบลงอย่างไร การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะใช้เวลานานแค่ไหนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภายหลังจะเป็นไปอย่างไร
คุณวิรไท สันติประภพยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า… ที่ผ่านมาได้พูดคุยเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลายๆ ทางหลายเวที แต่ก็ยังไม่เกิดผลจริง ซึ่งการตอบโจทย์ว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทำอย่างไรให้เกิดได้จริง จะต้องมีอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. มีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ
2. คนไทยและธุรกิจไทยต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ และ
3. การกระจายผลประโยชน์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องทั่วถึงและไม่ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยรุนแรงขึ้น
โดยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้แสดงให้เห็นความอ่อนแอทั้ง 3 ด้านนี้เพิ่มขึ้นทั้งระดับจุลภาคและมหภาค
การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย จะทำให้เกิดได้จริง จะต้องร่วมกันในระดับจุลภาคและมหภาค เพื่อให้ครัวเรือนปรับตัวในทิศทางที่ควรจะเป็น โดยนโยบายจุลภาคจะต้องลดอุประสรรคและลดความหลั่กหลั่นในระบบ ภาครัฐต้องเปิดเสรีให้ผู้แข่งขันรายใหม่ ลดอุปสรรคต้นทุนในสิ่งไม่จำเป็น และภาครัฐควรสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี และดิจิทัลเพื่อรองรับการเข้าถึงข้อมูล จะต้องตระหนักว่านโยบายภาพใหญ่จะเข้าถึงทุกคน โดยแรงงานต้องปรับทักษะ ผู้ประกอบการต้องปรับตัวการแข่งขัน เพื่อสร้างแรงจูงใจในระยะยาว
ประการ 1… การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับจุลภาค จำนวนมากทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคการเกษตรมีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งมีเหตุผลจากการขาดแรงจูงใจและแรงกดดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม ต้องเผชิญอุปสรรคการเข้าถึงเทคโนโลยี นอกจากนี้ การโยกย้ายแรงงานและเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพไปสู่ประสิทธิภาพสูงด้วยจำนวนจำกัด ซึ่งมาจากกฎเกณฑ์กติกาของภาครัฐที่ล้าสมัยและขาดการแข่งขันอย่างจริงจัง ทำให้ไม่สามารถเข้าตลาดได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจขาดพลวัตร
ประการที่ 2… เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันต่ำ ความสามารถในการรับมือกับภัยต่างๆ เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเพราะข้างหน้าต้องเผชิญกับความไม่ได้นอนสูงขึ้นทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความไม่แน่นอนในมิติใหม่ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจด้วย เช่น สภาวะโลกร้อนและอากาศแปรปรวน และการแพร่กระจายของโรคอุบัติใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นในระดับจุลภาค ครัวเรือนและธุรกิจจำนวนมาก
ประการที่ 3… ผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยกระจุกตัวสูง คนไทยเผชิญกับความเหลื่อมล้ำตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีความรู้น้อยมีทุนน้อยมักจะมีน้ำหนักต่ำกว่าตั้งแต่แรกเกิด มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพและทรัพยากรต่างๆ ที่แตกต่างกัน… ครอบครัวยากจนมีโอกาสเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพียง 5% ในขณะที่เด็กจากครอบครัวฐานะดีเกือบทั้งหมดมีการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำในช่วงปฐมวัยนี้ ส่งผลต่อการทำงานการประกอบกิจการและรายได้ที่แตกต่างกัน ความได้เปรียบเสียเปรียบกันสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงอายุและส่งผ่านต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน สะท้อนให้เห็นจากการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจในภาคครัวเรือน ประชากรที่มีรายได้สูงสุดมีรายได้รวมกัน 20% ของรายได้ทั้งหมดของประชากรทั้งประเทศ และผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดของส่วนแบ่งรายได้ 85% ของการผลิตอยู่นอกภาคการเกษตรทั้งหมด ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้เป็นอาการและสาเหตุของปัญหา ที่นำไปสู่ปัญหาทางสังคมได้ นอกจากนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจตามผลผลิตมวลรวมรายจังหวัดต่อหัว ของจังหวัดที่สูงกว่า เทียบกับจังหวัดที่ต่ำกว่า… เลื่อมล้ำมากกว่า 18 เท่า
ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบแบบนี้ส่วนใหญ่ จะมีข้อจำกัดในการปรับตัว และการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ดูแต่เดิมแล้วไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงทุน ข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี วิกฤตครั้งนี้จึงซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำให้คุณแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้โครงสร้างตลาดหลังโควิด-19 ทั่วโลก เปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะทำให้หลายอุตสาหกรรมทั่วโลกมีกำลังการผลิตส่วนเกินต่อเนื่องไปอีกหลายปี และหากกำลังการผลิตส่วนเกินนี้ไม่ถูกจะจัดการ และปรับนโยบายไปสู่การผลิตอื่น ผลิตภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะยิ่งลดต่ำลงอีกเรื่อยๆ
ในระดับมหภาค… โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพิงเศรษฐกิจต่างประเทศมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกสินค้าและบริการเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกสะดุดลงจากความเปราะบางจากโควิด-19
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจท่ามกลางโควิด-19 มีข้อคำนึงถึง 3 ประการ ด้วยกัน คือ
1. การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้นสอดคล้องกับการปรับตัวระยะยาว เพราะไม่มีใครรู้ว่าปัญหาจะลากยาวแค่ไหน ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนจะต้องจัดสรรทรัพยากรการเยียวยา เพื่อประคองระยะสั้น และรองรับการปรับตัวระยะยาว โดยปรับจากมาตรการเยียวยามาเป็นการปรับโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ แม้ว่ามาตรการเยียวยายังจำเป็นแต่ต้องควบคู่กับการปรับตัวสู่โลกหลังโควิด-19
โดยภาครัฐลดมาตรการเหวี่ยงแหแบบทุกคน แต่เน้นกลุ่มคนที่ต้องช่วยเป็นพิเศษ เพราะแรงงานและผู้ประกอบการมีการฟื้นตัวแตกต่างกัน เพราะการเหวี่ยงแหจะเกิดเบี้ยหัวแตก ไม่เกิดประสิทธิผล โดยจะต้องอาศัยกลไกตลาดคัดกรอง สร้างแรงจูงใจ เพราะถ้าทำไม่ดีจะเกิด Zombie Firm จะสร้างผลเสียและขาดแรงจูงใจ และกลไกถูกบิดเบือน และทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐขาดทรัพยากรไปช่วยเหลือประเทศ
2. การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงถ้าไม่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาพเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกเศรษฐกิจหนึ่งได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปสรรคในการโยกย้ายทรัพยากรข้ามธุรกิจ แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้นทุนสูงมาจากกฎภาครัฐที่ซับซ้อน ไม่สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ต้นทุนของเอสเอ็มอีสูงกว่ารายใหญ่ ทำให้เกิดโครงการทบทวนศึกษากฎหมาย หรือเรียกว่า Regulation Guillotine พบว่า 424 กระบวนการไม่จำเป็น และอีก 472 เป็นกระบวนการที่ควรปรับปรุง เพื่อลดขั้นตอน เป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงสั้นๆ และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวโดยไม่สร้างภาระให้งบประมาณของรัฐบาล
3. การยกระดับท้องถิ่นต่างจังหวัด จะต้องเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมชนบทต่างจังหวัดเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดปัญหามากมายทั้งปัญหาแรงงานสูงอายุในภาคเกษตร ปัญหายาเสพติด ปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ คุณภาพการศึกษาในชนบทที่ตกต่ำ
อย่างไรก็ดี การเกิดโควิด-19 ทำให้เกิดการย้ายแรงงานมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งแรงงานเหล่านี้มีศักยภาพที่จะเป็นพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นต่างจังหวัด สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบท ยกระดับผลิตภัณฑ์ในภาคเกษตรและวิสาหกิจชุมชน เป็นโอกาสในการเพิ่มอุปทานและกำลังซื้อในท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นจะสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น โดยภาครัฐจะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี
การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เป็นความท้าทายอย่างมาก โดยประเทศไทยควรปรับโครงสร้าง ซึ่งไม่ได้เป็นทางเลือก แต่เป็นทางรอดของประเทศไทยที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน เพราะเรามีเวลาไม่มากทรัพยากรของทางภาครัฐและภาคเอกชนกำลังหร่อยหรอลง และเราได้ถกเถียงกันเรื่องแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในหลายเวทีต่อเนื่องกันมาจนหลายแนวคิดที่สำคัญของเวลานี้จึงไม่ใช่โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเรียกว่าเราจะทำอย่างไรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจึงจะเกิดเป็นจริง เพื่อเห็นแนวทางปฏิบัติที่จะสามารถนำไปขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นได้จึงเติบโตได้เต็มศักยภาพมีภูมิคุ้มกันที่ดีลดความเหลื่อมล้ำลงและคนไทยแต่ละคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เนื้อความด้านบนส่วนหนึ่งคัดจาก Prachachat.net ส่วน Feature image จาก Posttoday.com ครับ…