วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา… เครือข่าย Bitcoin ได้ทำ Soft Fork ณ บล็อกหมายเลข 709,632 เพื่อ Upgrade เครือข่าย Bitcoin ให้รองรับความเป็นส่วนตัว หรือ Privacy บนมาตรฐานใหม่… เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด หรือ Scalability และ เพิ่มฟังก์ชันการทำงานกับภาษาสคริปต์เพื่อรองรับ Smart Contract ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ระบบเครือข่ายของ Bitcoin สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น… คนในวงการคริปโตและสาวกบิทคอยน์ต่างก็รอคอยการ Soft Fork เพื่อ Upgrade ภายใต้รหัส Taproot ครั้งนี้มานานเกือบสองปี
709632 🎇
— jack (@jack) November 14, 2021
การอัปเกรด Taproot ประกอบด้วย Bitcoin Improvement Proposals หรือ BIP 3 ฉบับคือ…
- BIP-340 หรือ BIP-Schnorr… โดยเป็นข้อเสนอใช้เทคโนโลยี Schnorr Signatures ในการเปลี่ยนแปลงการเข้าใช้ด้วยลายเซ็น หรือ Signature เพื่อเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าของข้อมูลใน Blockchain หรือ เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม ซึ่งแต่เดิม Bitcoin จะใช้ Elliptic Curve Digital Signature Algorithm หรือ ECDSA ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ต้องใช้ Signature หลายชุด หรือ Multi Signatures ในการทำธุรกรรม ทำให้ต้องใช้ Private Key และ Public Key จากหลายบัญชีเก็บข้อมูลลง Blockchain… Schnorr Signatures จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโดยการรวมแต่ละ Key ให้เหลือชุดเดียว ทำให้หลังจากการ Upgrade แล้วจะใช้เพียง 1 Private Key และ 1 Public Key ซึ่งใช้พื้นที่เก็บข้อมูลบน Blockchain ลดลงอย่างมาก และ ยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวเพราะผู้ใช้งานจะไม่สามารถเห็นข้อมูลทั้งหมดว่าแต่ละ Key ที่ร่วมยืนยันธุรกรรมมาจากของใครบ้าง แต่จะเห็นแค่ 1 Private Key และ 1 Public Key เท่านั้น
- BIP-341 หรือ BIP-Taproot… เป็นข้อเสนอเพื่อปรับกลไกการยืนยันธุรกรรมไปใช้ Merklized Alternative Script Trees หรือ MAST แทนการใช้ Pay-to-Script-Hash หรือ P2SH ในการทำธุรกรรม เพื่อให้ Node สามารถตั้งเงื่อนไขการยืนยันธุรกรรมได้หลากหลายเงื่อนไข และ MAST จะบันทึกข้อมูลที่เป็น Sensitive Information เพื่อยกระดับความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะซ่อนข้อมูลที่อยู่นอกเงื่อนไขธุรกรรม MAST ทั้งหมดและไม่บันทึกลง Blockchain ให้สิ้นเปลืองทรัพยากร
- BIP-342 หรือ BIP-Tapscript… เป็นการ Upgrade เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้และรันภาษาสคริปต์บนเครือข่าย Bitcoin เพื่อให้สามารถใช้งาน Schnorr Signatures และ เทคโนโลยี Taproot ได้… ซึ่ง Tapscript จะทำให้การ Upgrade Bitcoin ในอนาคตทำได้อย่างราบรื่นกว่าที่เป็นมา
คำถามสำคัญคือ… การ Upgrade ครั้งนี้จะทำให้ทิศทางของราคาบิทคอยน์เคลื่อนไหวอย่างไร?… นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า… การอัปเกรด Taproot ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการพัฒนา Bitcoin เข้าสู่อุตสาหกรรมบล็อกเชนยุคใหม่ ซึ่งมีผลกับทั้งอนาคตของ Bitcoin เองและความเคลื่อนไหวของราคาในตลาดไม่ต่างจากเมื่อครั้งทำ Hard Fork ในปี 2017 หรือ SegWit Upgrade 2017 ซึ่งส่งผลให้ราคา Bitcoin ในตลาดสูงขึ้นกว่า 50% ทีเดียว… แต่ก็มีบางความเห็นที่เชื่อว่า Soft Fork อย่าง Tabroot Upgrade น่าจะมีผลกับราคาบิทคอยน์น้อย ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า… 5-7 สัปดาห์ข้างหน้าช่วงสิ้นปี 2021 ต่อต้นปี 2022 และ ช่วงวันเกิดบิทคอยน์ที่จะถึงนี้จะเกิดอะไรขึ้น!