Bitcoin Cash เป็น Cryptocurrency ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปี 2017 หลังจากข้อสรุปจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวกับปัญหาการใช้งาน Bitcoin Blockchain ที่ Satoshi Nakamoto ทิ้งไว้เป็นมรดก ก่อนจะหายสาบสูญไปจากระบบนิเวศน์บิทคอยน์จนถึงปัจจุบัน… และเมื่อเข้าสู่ยุคตื่นบิทคอยน์ในปี 2017 ที่ราคาบิทคอยน์เพิ่มสูงขึ้นเกิน 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 BTC มาไกลเป็นครั้งแรก… การโอนบิทคอยน์ทำธุรกรรมจึงมากขึ้นกว่าเดิมมากมายหลายเท่าจนมีคนอ้างว่า ต้องรอการยืนยันธุรกรรม หรือ Confirm Block นานถึงสามวันก็มี
ปัญหาในทางเทคนิคที่ทำให้ Bitcoin ล่าช้าจนฝ่ายที่ไม่เชื่อถือบิทคอยน์อยู่เดิม เยาะเย้ยถากถางสารพัดในช่วงเวลานั้น เกิดจากการกำหนดขนาดของ Block ที่ถูกจำกัดไว้เพียง 1 MB ทำให้เกิดคอขวดเมื่อมีคิวการทำธุรกรรมมหาศาลหลั่งไหลมาให้บันทึกและยืนยัน… การแก้ไขปัญหานี้ได้รับการถกเถียงและถ่ายทอดในชุมชนบิทคอยน์และกลุ่มผู้สนใจบิทคอยน์ในเวลานั้นทั่วโลก ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำอะไรบางอย่างกับบิทคอยน์เพื่อให้รองรับธุรกรรมที่คาดว่าจะมหาศาลกว่าเดิมอย่างชัดเจนแล้วในเวลานั้น
แนวทางหนึ่งที่ถูกเสนอและเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การเพิ่มขนาดของ Block ให้สูงขึ้นเป็น 8 MB หรือ 32 MB ไปเลย พร้อมปรับความสามารถในการบันทึกธุรกรรมต่อ Block ให้ได้มากขึ้นสูงกว่า 1,000 รายการต่อ Block ที่ต้องใช้เวลา 10 นาทีในการยืนยันธุรกรรมแบบ Proof-of-Work หรือ PoW หรือ การขุดบิตคอยน์จาก Node ต่างๆ ในเครือข่าย… และยังคงจิตวิญญาณด้านธรรมาภิบาลแบบ Decentralized หรือ กระจายศูนย์โดยไม่ขึ้นตรงต่อใครเอาไว้เช่นเดิม…
สุดท้าย… การแก้ปัญหาและ Upgrade Bitcoin ในคราวนั้นไม่ได้เลือกการเพิ่มขนาดของ Block ให้สูงขึ้นตามที่กล่าวมาเพราะยังมีจุดบอดหลายอย่างที่อ่อนไหวต่อระบบที่ Satoshi Nakamoto ออกแบบไว้ดีอยู่แล้ว และยังมีข้อเสนออื่นๆ ที่น่าสนใจและเป็นไปได้มากมายที่ชุมชนบิทคอยน์เคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก ตั้งแต่สุดโต่งถึงขั้น คิดเพิ่มขนาดของ Block แบบ Unlimited หรือ แยกข้อมูลบางส่วนเก็บไว้นอก Blockchain แบบที่เรียกว่า Segregated Witness หรือ SegWit เพื่อลดขนาดข้อมูลไหลเข้าออก Blockchain ก็มี
นักพัฒนากลุ่มที่เชื่อมั่นแนวคิดการเพิ่มขนาดของ Block ให้สูงขึ้นเป็น 8 MB โดยยังคงคุณค่าการเป็น Peer-to-Peer Cash เหมือนที่ Satoshi Nakamoto เขียนไว้บน Whitepaper แรก… จึงตัดสินใจทำ Hard Fork โครงข่ายบิทคอยน์มาทำ Bitcoin Cash เหมือนการออกเรือนและแยกตัวจากกงสี แต่แยกมาพร้อมแบบบ้านหลังเดิมที่อยากเก็บคุณค่าไว้ แม้ต้องมาดิ้นรนในแนวทางของตนเองใหม่หมด… ต่างจากเมื่อครั้งที่ Vitalik Buterin นำการเปลี่ยนแปลงโดยแยกมาทำ Ethereum Blockchain โดยออกแบบใหม่หมดจนแตกต่างจาก Bitcoin อย่างสิ้นเชิง
การสร้าง Bitcoin Cash ขึ้นในปี 2017 ที่เอาข้อมูลทุกอย่างของบิทคอยน์มาปรับปรุงและพัฒนาต่อในคราวนั้น จึงทำให้ทุกคนที่ถือบิทคอยน์ในเวลานั้นได้รับ Bitcoin Cash เท่าจำนวน Bitcoin ที่ถือไว้ทุกบัญชีก่อน Hardfork ไปโดยปริยาย… และการ Hard Fork ครั้งนั้นนำโดย Roger Ver ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น Bitcoin Jesus หรือศาสดาบิทคอยน์ ที่ชุมชนบิทคอยน์เชื่อถือและยกย่องมากที่สุดคนหนึ่งมาตั้งแต่เกิด Bitcoin ในช่วงต้นปี 2009… ที่เป็นรองก็แต่ชื่อ Satoshi Nakamoto ที่เป็น God of Bitcoin ไปแล้ว
เรื่องราวของ Roger Ver ในมุมมองของผมคิดว่าสามารถเขียนเป็นนิยายได้เป็นเล่มๆ ยิ่งกว่าเรื่องของ Satoshi Nakamoto เสียอีก… เพราะ Roger Ver เป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับบิทคอยน์มาแต่ต้น จนเป็นหนึ่งในจำนวนบุคคลที่ถูกสงสัยว่าน่าจะเป็น Satoshi Nakamoto ผู้ลึกลับ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธมาตลอด… โดยเฉพาะข้อสังเกตุเกี่ยวกับ Reger Ver ที่เป็นคนคลุกคลีหลงไหลญี่ปุ่น ถึงขั้นเข้ามาทำธุรกิจในญี่ปุ่นจนใช้ภาษาญี่ปุ่นได้เป็นภาษาที่สอง หลงไหลศิลปะการต่อสู่ของญี่ปุ่นหลายอย่าง และดูเหมือนจะได้สัญชาติญี่ปุ่นอีกด้วย… ผิดกับหลายๆ คนที่อ้างว่าเป็น Satoshi Namkamoto ผู้สร้างบิทคอยน์ ที่ส่วนใหญ่กลายเป็นตัวตลกในชุมชนบิทคอยน์ไปหมด แม้แต่ Dr. Craig Steven Wright นักวิทยาการคอมพิวเตอร์คนดังที่อยู่ในเหตุการณ์กำเนิดบิทคอยน์ และ เป็นผู้นำการสร้าง Bitcoin SV ก็ตาม
Roger Ver เป็น Tech Entrepreneur ที่อยู่ในอุตสาหกรรมดอทคอมมาตั้งแต่ปลายยุค 90 และเข้าสูธุรกิจคริปโตและบิทคอยน์ด้วยการเปิด Bitcoinstore.com ในปี 2012 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ eCommerce แรกในโลกที่รับชำระค่าสินค้าเป็น Bitcoin และเปิดตัว Web-based Wallet ชื่อ Blockchain.com ในปีเดียวกันนั้นด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนถือ Bitcoin และ Ethereum ในเวลานั้นสามารถมีและใช้บัญชีเงินดิจิทัลได้ง่ายเหมือนใช้ Email และได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากชุมชน Bitcoin และ Ethereum… และยังเปิดตัว Bitcoin.com ในเวลาต่อมา ที่คนใช้ Bitcoin และ Bitcoin Cash ไม่มีทางพลาดจนสถิติการใช้งานเวบไซต์ Bitcoin.com สูงหลายล้าน Unique IP ต่อวัน และยังให้บริการ Bitcoin Wallet ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลกคริปโตก็ว่าได้
ที่เด็ดกว่านั้นคือ… Bitcoin Cash กำลังพัฒนาระบบนิเวศน์ Digital Token เหมือนที่ Ethereum หรือ Binance และ Blockchain อื่นๆ สามารถทำ Token เพื่อใช้สร้าง dApp หรือ ใช้ระดมทุนเช่นกัน… โดยความเคลื่อนไหวระดับการพัฒนานั้น แกนนำในชุมชน Bitcoin Cash ได้เปิดตัวระบบนิเวศน์ภายใต้โครงการ Simple Ledger Protocol หรือ SLP โดยมีชื่อ Bitcoin.com เป็นหัวเรือเช่นเดิม… รายละเอียดขอกั๊กไว้ก่อนยังไม่เล่าตอนนี้น๊ะครับ เพราะมีที่อยากเล่าอวดเยอะเหลือเกิน… เอาเป็นว่า ผมได้ลองใช้งาน Simple Ledger Protocol มาบ้างแล้วในฐานะสาวก Roger Ver คนหนึ่ง และตกหลุมรักความ “ง่ายค่าใช้จ่ายต่ำ” ในการใช้ Digital Token บน Bitcoin Cash Blockchain กับโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ไปแล้วหมดใจ…
ท่านที่มีโมเดลธุรกิจในใจและกำลังตัดสินใจเรื่องค่า Fees ของ Ethereum และ Smart Chain ลองศึกษาเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยของ Bitcoin Cash SLP เพิ่มอีกหนึ่งตัวเลือกก็ดีน๊ะครับ… พูดคุยเพิ่มเติม หรือ อยากสร้างโทเคนใช้เป็นของตัวเองขอเป็นทางไลน์ส่วนตัวที่ ID: dr.thum ครับผม
References…