ท่านเคยเข้าประชุมพร้อมวาระที่ต้อง “ระดมสมอง” โดยผู้เข้าร่วมประชุม หรือ แม้แต่ทีมย่อยที่นั่งลงคุยกันเพื่อเตรียมไอเดียไปนำเสนอในวงสนทนากับทีมใหญ่บ้างมั๊ย… ถ้าเคยหลายครั้ง ท่านก็จะทราบว่าบ่อยครั้งที่การระดมสมองจบลงโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และ สมาชิกทีมส่วนใหญ่เชื่อกันว่า “คิดไม่ออก” ทั้งๆ ที่การแกะถกประเด็นต่างๆ ที่พูดคุยในทุกวงสนทนา ล้วนมี “เศษไอเดีย” ถูกเปิดมาให้สังเกตเห็นอยู่ไม่น้อยเสมอ… เพียงแต่วงสนทนามักไม่ได้ใส่ใจ “ประกายเล็กน้อย หรือ ต้นอ่อนแรกงอก” ที่โผล่มาโดยไม่สะดุดความคิดเห็นของทุกคนในที่นั้น เพราะต่างก็กำลังมองหาอะไรที่เจิดจ้าโดดเด่นชัดเจนอยู่ โดยลืมไปว่า… ถ้าชัดเจนเด่นจ้ามีอยู่จริงก็คงไม่ต้องมาสุมหัว หรือ Brainstorming กันให้เสียเวลา
Seth Godin นักเขียนและนักธุรกิจเจ้าของหนังสือขายดีนับสิบเล่มเคยบอกไว้ว่า… Big Ideas Are Little Ideas That No-One Killed Too Soon หรือ ไอเดียยิ่งใหญ่ล้วนคือไอเดียเล็กๆ ที่ไม่ถูกทำลายเร็วเกินไป
ประเด็นจะเป็นแบบนี้คือ… ลูกพี่ใหญ่ของทีมจะเปิดห้องประชุม เรียกทุกคนเข้ามาก่อนจะแจ้งปัญหาและเป้าหมายให้ทุกคนเข้าใจให้ได้มากที่สุด แล้วก็ถามว่า… ใครมีไอเดียอะไรให้เสนอออกมา!… แล้วที่ประชุมก็จะเงียบ… โดยเฉพาะทีมที่อยู่ในวัฒนธรรมองค์กรแบบ “เสนออะไรไปก็จะได้โง่ทำอะไรที่ว่านั้นอยู่คนเดียว” จะหนักหน่อย เพราะทุกคนจะเงียบและก้มหน้ารอถูกด่าให้เสร็จในห้องประชุมก็จบกันไป… แต่ถ้าเป็นทีมจากองค์กรที่กระตือรือร้นกับการพุ่งชนปัญหาร่วมกัน ข้อมูลและไอเดียจากหลายๆ คนก็จะถูกยิงออกมาเพื่อเปิดเป็นประเด็นพูดคุย… ซึ่งถ้าโชคดีมีฉันทามติจนไปถึงขั้นได้ฉันทานุมัติจากที่ประชุม ไอเดียและการประชุมระดมสมองคราวนั้นก็คงไม่เสียเปล่า…
แต่ถ้าไอเดียและข้อมูลที่ถูกเสนอ มีใครบางคนในที่ประชุมตั้งด่านคัดกรองว่า ไอเดียไหนเข้าท่า และ ไอเดียไหนไม่เข้าท่าอยู่ในที่นั้น โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้เสนอไอเดียที่เข้าท่าออกมาเลย นอกจากอ้างว่า… เคยทำมาแล้ว หรือ มีคนทำเละมาแล้ว หรือ แม้แต่ทำมึนโต้แย้งเพราะไม่ชอบคนเสนอไอเดียนั้นเป็นการส่วนตัว และ สารพัดการขัดขวางโต้แย้งที่ไม่สร้างสรรค์… ที่ประชุมแห่งนั้นก็คงไม่เหลือไอเดียอะไรอื่นอีกเพราะทั้งหมดมักจะกลายเป็นไอระเหยแทนไอเดีย และ จบลงที่ไม่มีใครอยากเสนออะไรออกมาอีก… เพราะไม่มีใครอยากดูโง่โดยไม่จำเป็น!!!
เทคนิคการระดมสมองที่ “ถูกใช้ และ ได้งาน” ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้เก็บทุกไอเดียไว้ร่วมพิจารณาก่อนทั้งหมด ไม่ว่าไอเดียนั้นจะดูฉลาดน้อย ข้อมูลไม่ครบ หรือ บ้าบอเว่อวังแค่ไหนก็ตาม
โดยส่วนตัวผมรู้จัก Seth Godin จากหนังสือ This is Marketing สร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเอาใจทุกคน ฉบับแปลโดยคุณสักรินทร์ เพ็งประเดิม ซึ่งผมซื้อมากองไว้นานเหมือนกันกว่าจะได้อ่าน และ รู้สึกว่าตัวเองเสียโอกาสไปไม่น้อยที่ไม่รีบอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ต้น
Seth Godin เริ่มธุรกิจแรกด้วยการก่อตั้งแพลตฟอร์ม Internet Based Direct Marketer ชื่อ Yoyodyne ในปี 1995 ก่อนจะถูก Yahoo ซื้อควบรวมด้วยมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1998 และเริ่มเขียนหนังสือหลายเล่มต่อเนื่อง และก่อตั้งแพลตฟอร์ม Squidoo ในปี 2005 เพื่อทำ Revenue Sharing Article-writing โดยมีแอพ Lenses เป็นแพลตฟอร์มขับเคลื่อนโมเดล ซึ่งดึงดูดสมาชิกได้มากกว่า 1.5 ล้านบัญชีในปี 2010 ก่อนจะถูกซื้อควบรวมโดย Hubpages.com ในเดือนสิงหาคมปี 2014
แต่ผลงานที่ทำให้ Seth Godin กลายเป็นคนดังคือหนังสือชื่อ Purple Cow: Transform Your Business by Being Remarkable หรือ การตลาดแบบวัวสีม่วง ในชื่อฉบับแปลภาษาไทย ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเป็นคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องไม่เป็นวัวขาวดำในทุ่งแบบวัวๆ ซึ่งไม่มีวันโดดเด่นจนเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน… หนังสือ Purple Cow ถือเป็นหนังสือ “จำเป็นต้องอ่าน” สำหรับนักบริหารและนักการตลาดที่อยากเชื่อมตรงเข้าถึงลูกค้าได้อย่างโดดเด่นเล่มสำคัญเล่มหนึ่งที่มีคนแนะนำทั่วโลก
ปัจจุบัน… Seth Godin ถือเป็นนักเขียน และ Blogger ทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลต่อแนวคิดและการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ไม่น้อย ถึงแม้หนังสือ และ งานเขียนส่วนใหญ่ของ Seth Godin จะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการตลาด และ ประเด็นทางการตลาด… แต่หลายท่านคงเข้าใจดีว่า การตลาดก็คือหัวใจของธุรกิจที่บริบททางธุรกิจอื่นๆ ถูกสร้างครอบตลาดขึ้นมาทั้งหมด… โดยไอเดียและงานสร้างสรรค์ในธุรกิจมากมายเกิดขึ้นเชื่อมโยงกลับไปที่การตลาดเสมอ
References…