เสนอเงินกู้หนึ่งล้านล้านบาท และ หลุมรายได้ประเทศไทย

Income Hole

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2021… ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดงาน “ผู้ว่าฯ ธปท. พบสื่อมวลชน” เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับภาพสะท้อนเศรษฐกิจไทยจากผลกระทบของโควิด และ มุมมองทางเศรษฐกิจในอนาคต… ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนที่ 24 มีข้อมูลและข้อเสนอหลายอย่างที่น่าสนใจมาบอกเล่ากับคนไทยผ่านผู้สื่อข่าวที่ได้รับเชิญในวันนั้น…

ประเด็นแรก… 

ว่าด้วยข้อมูลภาพรวมผลกระทบทางเศรษฐกิจ… ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ขณะนี้ ธปท. มองเห็น 4 อาการของเศรษฐกิจไทยที่เป็นผลกระทบจากวิกฤตโควิด ได้แก่

อาการแรก… โควิดสร้าง ‘หลุมรายได้’ ขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจไทย โดยในช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 คาดว่ารายได้จากการจ้างงานจะหายไปถึง 1.8 ล้านล้านบาท… จากนายจ้างและอาชีพอิสระ 1.1 ล้านล้านบาท และ ลูกจ้าง 7.0 แสนล้านบาท… และเมื่อมองไปข้างหน้า การจ้างงานคงฟื้นตัวไม่เร็วและรายได้จากการจ้างงานในปี 2565 คาดว่าจะหายไปอีกราว 8.0 แสนล้านบาท ซึ่งหมายถึงในปี พ.ศ. 2563-2565 ‘หลุมรายได้’ อาจมีขนาดถึง 2.6 ล้านล้านบาท

อาการที่สอง… การจ้างงานถูกกระทบรุนแรง โดยเฉพาะกิจการในภาคบริการและกิจการที่มีสายป่านสั้น โดยข้อมูลการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้สะท้อนความเปราะบางสูง ได้แก่

  • ผู้ว่างงาน/เสมือนว่างงาน หรือ ผู้มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน อยู่ที่ 3.0 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.4 ล้านคน ณ สิ้นปี พ.ศ. 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดกว่า 1 ล้านคน
  • ผู้ว่างงานระยะยาว หรือ ว่างงานเกิน 1 ปี ที่มีจำนวน 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว
  • ตัวเลขผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน อยู่ที่ 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 8.5 หมื่นคน
  • แรงงานย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากภาคบริการและอุตสาหกรรมในเมืองกลับไปยังภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำกว่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อปีในช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก

อาการที่สาม… การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่างๆ ไม่เท่าเทียม หรือ ฟื้นตัวแบบ K-Shape แม้จะมีภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่ฟื้นตัวเกินระดับก่อนโควิดแล้วถึงเกือบ 20% จากเศรษฐกิจคู่ค้าที่สถานการณ์เบากว่าไทย แต่ภาคการผลิตเพื่อการส่งออกนี้จ้างงานเพียง 8% ทำให้ผู้ได้ประโยชน์มีน้อย เทียบกับแรงงานในภาคบริการที่มีสูงถึง 52% ที่ส่วนใหญ่ยังเดือดร้อน โดยรวมจึงยังทำให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือนยังเปราะบาง

อาการที่สี่… ไทยถูกกระทบจากโควิดหนักกว่า และ จะฟื้นช้ากว่าประเทศในภูมิภาค เนี่องจากไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในเอเชีย คือ 11.5% ของ GDP… ทำให้ทั้งปี 2563 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 6.1% เทียบกับ 4.9% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของประเทศในเอเชีย ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะใช้เวลา 3 ปี จากช่วงเริ่มระบาดในการกลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่เอเชียโดยรวมใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ GDP ของไทยยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิด 4.6% ขณะที่เอเชียโดยรวมฟื้นเหนือระดับก่อนโควิดแล้ว

ประเด็นที่สอง…

เรื่องมาตรการหรือแนวทางแก้ปัญหาที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุว่า ปัญหาของวิกฤตครั้งนี้มาจาก 3 ด้าน คือ

  1. ปัญหาด้านสาธารณสุขที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต
  2. ปัญหาด้านรายได้ที่เป็นปัญหาหลักและจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหากไม่ได้รับการเยียวยาที่ทันการณ์
  3. ปัญหาภาระหนี้ซึ่งเป็นผลพวงของรายได้ที่หายไป 

ซึ่ง ‘หัวใจ’ ในการแก้ไขทั้ง 3 ปัญหาคือ การแก้ไขตามอาการ

ด้านแรก… โควิดเป็นวิกฤตที่เริ่มต้นจากระบบสาธารณสุข การแก้ปัญหา ‘ตามอาการ’ จึงต้องอาศัยเครื่องมือด้านสาธารณสุขที่สำคัญคือ วัคซีนและมาตรการควบคุมการระบาด โดยวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นเครื่องมือหลักที่จะทำให้การระบาดหยุดลงยั่งยืน ระหว่างนี้ประชาชนจึงควรต้องได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างเพียงพอและการกระจายฉีดอย่างเหมาะสม เพื่อลดอัตราการตายและติดเชื้อ และให้กำลังการตรวจหาโรคมีเพียงพอ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลและช่วยให้บริหารจัดการการระบาดได้ดีขึ้น ลดโอกาสการล็อกดาวน์หรือจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจ รายได้จึงจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ด้านที่สอง… ในระหว่างที่สังคมไทยรอการเกิดภูมิคุ้มกันที่มากพอจากการฉีดวัคซีน ภาครัฐควรมีบทบาทในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจและครัวเรือน และ ดูแล ‘หลุมรายได้’ ที่คาดว่าจะใหญ่ถึง 1.8 ล้านล้านบาท ตลอดปี พ.ศ. 2563-2564 โดยเฉพาะในช่วงที่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐจะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้งการใช้จ่ายของประชาชนยังจะหมุนเวียนไปสู่ธุรกิจต่างๆ ให้ดำเนินต่อไป รักษาการจ้างงานไว้ได้ และไม่ต้องมีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว

การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจและช่วยกลบหลุมรายได้และหลุมการจ้างงานให้ตื้นขึ้นได้… เนื่องจากการส่งออกแม้จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัว โดยในปีนี้มูลค่าการส่งออกคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 17.7% จากปีก่อนหน้า แต่เมื่อหักการนำเข้าสินค้าที่ส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกแล้ว สุทธิจะช่วย GDP ได้เพียง 0.5% ซึ่งยังไม่สามารถชดเชยหรือเติมเต็ม ‘หลุมรายได้’ ที่หายไปได้

ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่แม้จะยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง แต่ยังไม่จ้างงานเพิ่ม โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์กลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิดแล้ว แต่งบลงทุนยังหดตัวจากช่วงก่อนโควิดอยู่ถึง 49% และ การจ้างงานของธุรกิจขนาดใหญ่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 4.7% และแม้บริษัทเอกชนจะลงทุนเพิ่มขึ้นก็ยังไม่น่าจะเพียงพอ เพราะสัดส่วนของการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ราว 18% ของ GDP และที่ผ่านมาการลงทุนภาคเอกชนโตเฉลี่ยร้อยละ 4.4 ซึ่งการลงทุนจะต้องนำเข้าเครื่องจักรพอควร ดังนั้นถ้าธุรกิจใหญ่ลงทุนมากขึ้น อาทิ 1 แสนล้าน จะช่วยให้ GDP เติบโตได้เพียง 0.2-0.3%

เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจาก ‘หลุมรายได้’ ที่ทั้งใหญ่และลึก รวมทั้งสถานการณ์ที่จะยาวนาน การใช้จ่ายของภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มอีกมาก และ Front-Load ให้ได้มากที่สุด เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยพยุงการจ้างงานและเพิ่มรายได้ รวมถึงการใช้วงเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน ที่อาจเร่งนำมาใช้เยียวยากลุ่มเปราะบางให้ตรงจุดและทันการณ์ และออกมาตรการเพื่อรักษาการจ้างงานและสร้างรายได้โดยเร็ว

นอกจากนี้จะต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนกับมาตรการทางการคลังที่ส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ มี ‘ Multiplier หรือ ตัวคูณ’ สูง อาทิ มาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย หรือ Co-Pay)เช่น มาตรการคนละครึ่งและมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ โดยมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากมักเป็นการดึงเม็ดเงินจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะมีผลเพิ่มเติมจากการเพิ่มสภาพคล่องของธุรกิจและการจ้างงาน ขณะที่มาตรการให้เงินเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจะมีความจำเป็นในระยะสั้น

ด้วยขนาดของหลุมรายได้ที่จะหายไปประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2565 เม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลังเพื่อช่วยให้รายได้ และ ฐานะทางการเงินของประชาชน และ SMEs กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด… ลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด ซึ่งในเบื้องต้นเม็ดเงินจากภาครัฐที่เติมเข้าไปในระบบควรมีอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็นประมาณ 7% ของ GDP

การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐจะช่วยให้ GDP กลับมาโตใกล้ศักยภาพเร็วขึ้น และจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะยาวปรับลดลงได้เร็วกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่ม โดยในกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ของ GDP ในปี 2567 และจะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากฐานภาษีจะไม่ได้ลดลงจากแผลเป็นของเศรษฐกิจมากนักเมื่อเทียบกับกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม พบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2574) จะต่ำกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่มเติมถึงกว่า 5%

อย่างไรก็ดี… เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ และ เพิ่ม Room ของการทำนโยบายไว้รองรับภาระทางการคลังและความเสี่ยงในอนาคต รัฐบาลต้องมีมาตรการรัดเข็มขัดในระยะปานกลาง เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP กลับลงมาในระยะข้างหน้า อาทิ… การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษีและการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ พร้อมทั้งปรับอัตราภาษีบางประเภทให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด สำหรับการใช้จ่าย มาตรการเงินโอนควรต้อง ‘ตรงจุด’ และ ควรกำหนดเงื่อนไขของการได้รับเงินโอน หรือ Conditional Transfer พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำและเพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน

ประเด็นที่สาม…

เรื่องมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. ที่ผ่านมาและที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม… ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า… ที่ผ่านมา ธปท. มีการดำเนินการหลายมิติ ครอบคลุมลูกหนี้ที่หลากหลาย และมีการปรับปรุงเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

โครงการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้เน้นบรรเทาภาระหนี้ในระยะยาว ลดภาระดอกเบี้ย และ มีทางเลือกในการปิดหนี้ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีลูกหนี้รายย่อยที่อยู่ภายใต้มาตรการ จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.5 ล้านบัญชี ในกรณีลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ธปท. ก็ได้จัดให้มีช่องทางแก้หนี้ผ่านคลินิกแก้หนี้ และ โครงการไกล่เกลี่ยหนี้ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีลูกหนี้เข้าโครงการในส่วนของบัตรเครดิต และ P-Loan ที่ได้รับความช่วยเหลือสะสมแล้วกว่า 1.9 แสนบัญชี

ในส่วนของลูกหนี้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบยืดเยื้อและต้องใช้เวลานานกว่ากลุ่มอื่นในการฟื้นตัว โดยเป็นธุรกิจที่มีทรัพย์สินเป็นประกัน ธปท. ได้ออกแบบมาตรการ “พักทรัพย์พักหนี้” ในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตัดภาระการผ่อนชำระหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกันได้ชั่วคราวอย่างตรง ‘อาการ’ โดยตั้งแต่เริ่มใช้มาตรการ มีผู้เข้าร่วมโครงการ 50 ราย มูลค่าโอนสินทรัพย์ 8,991 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกิจการโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก รวมถึงกิจการอื่นๆ เช่น โรงงาน ร้านอาหาร

นอกจากนี้ ล่าสุด ธปท. ได้จัดให้มีมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน ที่เป็นการช่วยเหลือเร่งด่วนเฉพาะหน้าสำหรับลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 มีลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ไทยแจ้งขอรับความช่วยเหลือจำนวนเงินรวม 353,705 ล้านบาท รวม 630,585 บัญชี และได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วเป็นจำนวนเงิน 240,642 ล้านบาท คิดเป็น 375,153 บัญชี

ในด้านการเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ… ธปท. ได้ดำเนินการผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับธุรกิจขนาดเล็กมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มดำเนินการได้ตามเป้าหมายร่วมของ ธปท. และสถาบันการเงินที่ 1 แสนล้านบาท ภายในเดือนตุลาคม 2564 โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีทั้งในแง่ของขนาด ประเภทธุรกิจ และภูมิภาค โดย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ธปท. ได้อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูรวมทั้งสิ้น 89,444 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 29,365 ราย เฉลี่ยรายละ 3 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ Micro SMEs (44.2%) ประกอบธุรกิจกลุ่มการพาณิชย์และบริการ (67.5%) และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดนอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (68.7%)

สำหรับแนวทางและมาตรการของ ธปท. ในระยะต่อไป ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวว่า จะเน้นมาตรการที่ออกมาแล้วสามารถช่วยลูกหนี้ได้จริงและเหมาะสมกับภาวะปัจจุบันมากขึ้น คือ

  1. การปรับภาระการจ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ต่ำลงมาก เพื่อให้เจ้าหนี้ยังติดต่อลูกหนี้ได้ หรือ ‘ลูกหนี้สบายตัว เจ้าหนี้สบายใจ’
  2. การผลักดันให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ครอบคลุม เพื่อดูแลลูกหนี้ที่มีจำนวนมากให้ได้อย่างทันการณ์

ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะเป็นประโยชน์กับลูกหนี้ควรต้องมีลักษณะดังนี้

  • มองยาว… มองไปข้างหน้าถึงสถานการณ์ในอนาคตมากขึ้น โดยให้ภาระการจ่ายหนี้สอดคล้องกับรายได้ที่ต่ำลงมากและทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เริ่มกลับมา
  • ทำกว้าง… เน้นให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่มีปัญหาไม่เหมือนกัน ให้สามารถ Scale การช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีจำนวนมากได้เร็ว
  • ตรงจุด… ให้เหมาะกับ ‘อาการ’ ของลูกหนี้แต่ละรายหรือแต่ละกลุ่มที่มีปัญหาและการฟื้นตัวที่ต่างกัน
  • รอดด้วยกัน… มาตรการช่วยเหลือต้องเป็นธรรมกับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
  • ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด หรือ Moral Hazard… ให้กับลูกหนี้ชั้นดีที่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบไม่มาก ทำให้เสียโอกาสในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เดือดร้อนจริงและส่งผลต่อเสถียรภาพโดยรวม

ภายใต้แนวทางดังกล่าว ธปท. จะมีกลไกเพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการที่ยังให้ความยืดหยุ่นในเรื่องการบังคับใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้น และ การกันเงินสำรอง หากสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เพียงอย่างเดียว เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากสินเชื่อระยะสั้นเป็นระยะยาว การปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ และ อาจรวมถึงการลดเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ยค้างรับ การลดอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ดี ด้วยปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายต่างกัน การให้ความช่วยเหลือจึงไม่สามารถทำในลักษณะที่เหมือนกันได้ในทุกกรณี หรือ One Size Fits All ซึ่งสถาบันการเงินและลูกหนี้จะต้องหารือกัน โดยพิจารณา

  • ความสามารถในการชำระคืนหนี้ในอนาคตเมื่อรายได้กลับมา
  • ระยะเวลาการจ่ายคืนหนี้ให้สอดคล้องกับประมาณการรายได้ของลูกหนี้ในอนาคต

เมื่อผู้สื่อข่าวถาม ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มเติมว่า… ธปท. จะพิจารณาการปรับลดเพดานดอกเบี้ยของผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ หรือไม่?… ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยตอบว่า… การพิจารณาเรื่องเพดานดอกเบี้ยต้องมองให้รอบด้าน โดยหลักการคือ เพดานต้องไม่สูงมากจนทำให้ลูกหนี้มีภาระดอกเบี้ยสูงเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ต่ำเกินไปจนเจ้าหนี้มีรายได้ไม่คุ้มต้นทุนการทำธุรกิจ และให้ลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงไปสู่การกู้เงินนอกระบบที่มีดอกเบี้ยแพงกว่ามาก

References…

Share this post

Add Properea's Friend

เพิ่ม Properea.com เป็นเพื่อนทาง Line
ท่านจะได้ Link บทความใหม่ส่งตรงให้อย่างสม่ำเสมอโดยรบกวนแต่น้อย

Related Post

Covid-19

ที่อยู่อาศัยในสถานการณ์โรคระบาด ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

บ้านแบบไหนที่เราจะกลับไปอยู่อาศัยได้จนพ้นช่วงยากลำบากอย่างโรคระบาด ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่การใช้ชีวิตปกติแบบไปไหนมาไหนเหมือนเดิมก็ยากลำบาก หรือแม้แต่การที่ชีวิตยังต้องทำมาหากิน ไปทำงาน ส่งลูกไปโรงเรียน หรือป่วยไข้ก็ต้องไปรวมกับคนป่วยรายอื่นที่โรงพยาบาล…

warehouse 2020

บทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจคลังสินค้า… จาก Krungsri Research

ธุรกิจคลังสินค้าและพัฒนาคลังสินค้า… ดูเหมือนจะเป็นความเคลื่อนไหวเดียวที่ยังไม่แผ่วไปกับสถานการณ์ที่ VUCA สุดๆ ในห้วงเวลานี้… ซึ่งนอกจากจะไม่แผ่วลงแล้ว ข้อมูลในมือผมตอนนี้มีการลงทุนกับคลังสินค้าทั้งรายเก่าและเจ้าใหม่ รวมทั้งรายใหญ่ระดับบริษัทมหาชน และรายเล็กรายน้อยที่กระจายตัวทั่วทุกภูมิภาค… วันนี้ก็เลยของัดเอา รายงานการวิจัยและบทวิเคราะห์ของกรุงศรีรีเสิร์ช ประเด็นแนวโน้มธุรกิจคลังสินค้า 2562-2564 ที่มีข้อมูลน่าสนใจอย่างมากในมุมมองของผม

Space Perspective… บริการบอลลูนสตราโตสเฟียร์เพื่อการท่องเที่ยว

Space Perspective ก่อตั้งในปี 2019 โดย Jane Poynter และ Taber MacCallum โดยได้รับเงินลงทุนใน Series A ถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคม ปี 2021 โดยมีแผนจะบินท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในปี 2024 แต่ก็มีคิวจองไปแล้วกว่า 475 รายที่ยืนยันการจองด้วยเงินมัดจำค่าเดินทางระหว่าง 10,000–25,000 ดอลลาร์สหรัฐ… โดยมี​​เที่ยวบินทดสอบอันน่าประทับใจในในช่วงกลางปี 2020 ที่ผ่านมาดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งทดสอบด้วยแคปซูลบอลลูน Neptune สำหรับลูกเรือ 9 ที่นั่ง ลอยตัวด้วยก๊าซไฮโดรเจนจากศูนย์อวกาศเคนเนดีของ NASA โดยจะบินเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกสู่ชั้นบรรยากาศสทราโทสเฟียร์เพื่อชมเส้นขอบอวกาศ… ใช้เวลาบินขึ้น 2 ชั่วโมง ชมอวกาศและเส้นขอบฟ้า 2 ชั่วโมง และ บินกลับอีก 2 ชั่วโมงรวมเวลาในเที่ยวบินทั้งหมด 6 ชั่วโมง

Aragon Network DAO และ ANT Token

Aragon Network DAO เป็นแพลตฟอร์มสร้าง DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization ขึ้นใช้งานด้วยตัวเองโดยใครก็ได้ที่มีทักษะคอมพิวเตอร์เพียงเล็กน้อย และ ติดตั้งปลั๊กอินบน Web Browser ให้รองรับการใช้งาน WEB 3.0 ซึ่งโดยพื้นฐานก็คือการใช้งาน Google Chrome ร่วมกับ MetaMask Plugin ก็สามารถเข้าไปกรอกข้อมูลพื้นฐานเพื่อสร้าง DAO ขึ้นใช้ได้ภายใน 5 นาทีโดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่นิดเดียว